บทที่ 7
ไม่รู้ว่าท่านสี่หรือพี่สี่คนนี้พูดอะไรกับคุณชายหวัง แต่หลังจากอีกฝ่ายไปแล้ว คุณชายหวังกลับดูท่าทางห่อเหี่ยวใจนิดหน่อย และคงเป็นเพราะเหตุนี้ถึงได้ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปสนิท เขาเหยียดขาข้างหนึ่งไปเกี่ยวเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วหย่อนบั้นท้ายลงนั่ง ยกสองขาพาดบนราวรั้ว หันหน้าไปทางอาทิตย์อัสดงหลังยอดเขาตรงปลายโค้งน้ำอยู่นิ่งๆ ในท่านี้
ซูเสวี่ยจื้อสบตากับญาติผู้พี่แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากดาดฟ้าเงียบๆ อย่างใจตรงกัน
เยี่ยเสียนฉีตามเข้ามาในห้องของเธอ ปิดประตูแล้วตีหัวตนเองแรงๆ “ฉันโง่เหมือนหมูจริงๆ แบบนี้ไม่ใช่ให้เธอเป็นเหมือนเนื้อเข้าปากเสือหรือ ถ้าเกิดเขายังจะให้เธอหัดแสดงอุปรากรอีก…”
“พี่กับเขาเป็นเพื่อนนักเรียนกันที่ตงหยางจริงๆ เหรอ”
เยี่ยเสียนฉีพูดอึกๆ อักๆ “คือ…คือว่า…”
“ช่างเถอะ ฉันรู้แล้ว” ญาติผู้น้องของเขาทำเสียงฮึ
ชายหนุ่มเกาหัวอย่างร้อนตัว ยิ้มอย่างประจบเอาใจ “เสวี่ยจื้อ เธอวางใจได้ ฉันจะไปหาเป้าจื่อเดี๋ยวนี้เลย บอกกับเขาว่าพวกเราจะย้ายลงไป จะได้ไม่เกิดเรื่อง”
ทีแรกซูเสวี่ยจื้อไม่อยากทำให้เขาเสียอารมณ์ถึงได้ตามมา ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจสักที เธอรอคำนี้มานานแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นจะหาเหตุผลอะไรดี”
เยี่ยเสียนฉีย่นหัวคิ้วเข้าหากัน “ก็บอกว่าลุงจงไม่สบาย พวกเราต้องกลับไปดูแลเขา คุณชายหวังคนนั้นอยากหาเรื่องก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว”
บางครั้งซูเสวี่ยจื้อรู้สึกนับถือญาติผู้พี่ของตนเองมากพอดูจริงๆ หัวไวเจ้าความคิด อีกอย่างข้ออ้างนี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ เธอจึงพยักหน้า
เยี่ยเสียนฉีส่งเธอลงไปหาลุงจงก่อนและกำชับว่าอย่าพูดความจริง ลุงจงจะได้ไม่เป็นห่วง แค่บอกว่าอยู่ข้างบนไม่เป็นอิสระ ทั้งคู่อยากหาข้ออ้างย้ายลงมาโดยให้เขาแกล้งป่วย หลังนัดแนะเสร็จกลับมาก็แกล้งทำเป็นเพิ่งรู้ว่าลุงจงไม่สบายแล้วค่อยไปหาป้าหวังด้วยกัน พูดเกริ่นๆ เล็กน้อยและฝากป้าหวังเข้าไปบอก จากนั้นรออยู่ข้างนอก
ป้าหวังเข้าไปเรียกคนให้ ผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่ชื่อเป้าจื่อก็เดินออกมาจากด้านใน
เยี่ยเสียนฉีพูด “เมื่อครู่น้องผมลงไปหยิบของ ถึงรู้ว่าลุงจงไม่ค่อยสบาย คงเพราะอายุมากแล้ว ออกมาข้างนอกไม่คุ้นกับดินฟ้าอากาศน่ะครับ ลุงจงเป็นคนเก่าคนแก่ในบ้านพวกผม เป็นเหมือนคนครอบครัวเดียวกัน ผมกับน้องปรึกษากันแล้วอยากย้ายกลับไปด้วยกันจะได้ดูแลเขาได้สะดวก เลยตั้งใจมาบอกกล่าวพวกคุณสักคำ หลายวันนี้พวกเราสองพี่น้องรบกวนพวกคุณตลอด ต้องขอบคุณท่านสี่แล้วก็คุณชายหวังมากๆ ครับ”
เขาฟังจบแล้วบอกว่า “ไม่ต้องย้ายลงไปแล้วครับ พวกคุณพักอยู่ที่นี่เถอะ ให้คนป่วยย้ายขึ้นมา มีห้องว่างอยู่”
ตอนเยี่ยเสียนฉีพูดอยู่ ซูเสวี่ยจื้อก้มหน้าเล็กน้อยไม่ปริปากสักคำ พอได้ยินเป้าจื่อตอบกลับมาแบบนี้ เธอก็ประหลาดใจเหลือหลายจนอดเหลือบตาขึ้นไม่ได้
อีกฝ่ายไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่คล้ายกำลังพูดโกหกส่งเดช
ด้านเยี่ยเสียนฉีนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจก่อนดึงสติกลับมา เขาโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องครับๆ พวกผมย้ายลงไปก็พอ ไม่ต้อง…”
“เอาตามนี้เถอะครับ” เป้าจื่อหันหน้าไปสั่งป้าหวังที่รออยู่ด้านข้างให้ไปเตรียมห้องอีกห้องหนึ่ง เขาพูดจบก็เดินไปเลย
สองลูกพี่ลูกน้องจนปัญญาได้แต่กลับไปก่อน หลังปิดประตูสุมหัวปรึกษากันใหม่ ทั้งคู่ก็สงสัยว่านี่น่าจะเป็นความต้องการของ ‘ท่านสี่’ ไม่เช่นนั้นคนเป็นลูกน้องอย่างเป้าจื่อไม่มีทางตัดสินใจเองโดยพลการ
ทว่าเพราะอะไร ‘ท่านสี่’ คนนั้นถึงอยากจะให้พวกเธอพักอยู่ข้างบนกันล่ะ
เพื่อให้พวกเธอเล่นเป็นเพื่อนคุณชายหวังต่อ จะได้ช่วยคุณชายหวังฆ่าเวลาอันจำเจน่าเบื่อบนเรือเหรอ
สองลูกพี่ลูกน้องคิดไปคิดมาแล้วดูเหมือนจะมีเหตุผลนี้อย่างเดียว
ในเมื่อเขาถึงขั้นออกปากให้ ‘คนป่วย’ ย้ายขึ้นมาด้วยได้ หากพวกเขายังยืนกรานจะย้ายลงไปให้ได้นั่นเท่ากับฉีกหน้าอีกฝ่ายใช่หรือไม่
คนระดับนี้น่าจะให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตา วันนี้คุณชายหวังอยู่ดีๆ ก็ชักสีหน้า ต้นเหตุเพราะถูกปฏิเสธถึงได้รู้สึกเสียหน้าไม่ใช่เหรอ
เยี่ยเสียนฉีรู้สึกคล้ายกับลงเรือโจรอย่างไรอย่างนั้น ที่สำคัญคือเป็นตัวเขาเองที่คิดจนหัวแทบแตกพยายามจะมุดลงเรือลำนี้เอง
ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ อยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว
ทั้งสองได้แต่จ้องตากันอย่างหมดหนทางอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากข้างนอกระลอกหนึ่ง พอออกไปดูก็เห็นผู้คุ้มกันคนหนึ่งของคุณชายหวังพาใครคนหนึ่งเดินมา
นั่นมันลุงจงไม่ใช่เหรอ