ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 74-76
หลังส่งพวกคุณลุงเรียบร้อย ซูเสวี่ยจื้อกับเยี่ยเสียนฉีออกมาจากสถานีรถไฟ
หญิงสาวรู้ว่าญาติผู้พี่ต้องรีบกลับเพราะมีเวรลาดตระเวนตอนดึกอีก จึงเอ่ยปากบอกเองเลยว่าไม่ต้องไปส่ง เวลานี้ยังหัวค่ำอยู่ เธอกลับเองได้
ระหว่างที่เยี่ยเสียนฉีลังเลใจอยู่ เขาสังเกตเห็นฟู่หมิงเฉิงยังไม่ไป อีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับหัวหน้าสถานีรถไฟอยู่อีกทางหนึ่ง พอเห็นพวกเขาสองลูกพี่ลูกน้องออกมาแล้วก็เดินเข้ามาหา
เยี่ยเสียนฉีกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
ฟู่หมิงเฉิงอมยิ้มพูดว่า “ความจริงผมควรเป็นฝ่ายขอบคุณซูเสวี่ยจื้อจึงจะถูก เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลาไม่น้อยเพื่องานจัดห้องนิทรรศการรำลึกถึงคุณพ่อของผม พวกคุณจะกลับกันแล้วใช่ไหมครับ อากาศหนาวไม่ค่อยมีรถลาก ให้ผมแวะส่งพวกคุณเถอะ”
เยี่ยเสียนฉีโบกมือไปมา “ผมยังมีงานที่สถานีตำรวจ ต้องขอตัวก่อน ในเมื่อเป็นอย่างนี้รบกวนคุณฟู่ส่งเสวี่ยจื้อกลับวิทยาลัยก็แล้วกันครับ” เขาพูดจบแล้วก็รีบแยกไปเลย
“คุณต้องกลับไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงแรมต่อ ผมกลับเองได้ ไม่ต้องรบกวนคุณจริงๆ ครับ” ซูเสวี่ยจื้อเห็นเขามองมาก็พูดขึ้นทันที
“ไม่เป็นไรครับ คุณรอสักครู่ ผมจะไปขับรถมา” ชายหนุ่มไปเอารถ
เธอได้แต่ต้องรอเขา
ว่ากันตามสัตย์จริง ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่เขาแสดงความเอื้อเฟื้อเกือบเข้าขั้นเกินขอบเขตอย่างนี้ หลังจากขึ้นรถเธอจึงเอ่ยขึ้นว่า “ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ ญาติผู้พี่ของผมไม่ค่อยรู้จักนึกถึงคนอื่น ความจริงคุณมีธุระ ไม่จำเป็นต้องไปส่งผมเลย”
ฟู่หมิงเฉิงพูดยิ้มๆ “ญาติผู้พี่ของคุณเป็นคนปากตรงกับใจ ผมว่าดีนะครับ คุณสบายใจได้ พลาดงานสังสรรค์ครั้งเดียวไม่กระทบกับธุรกิจของผม บอกตามตรงหลายวันนี้ผมอยากกลับไปดูที่วิทยาลัยสักครั้งพอดี แต่หาเวลาไม่ได้ตลอด ก็ฉวยโอกาสไปเสียคืนนี้เลย ผมได้ยินว่าห้องนิทรรศการเกี่ยวกับคุณพ่อผมคืบหน้าไปเร็วมาก”
ที่แท้เขาคิดแบบนี้นั่นเอง…
การจัดวางเนื้อหาต่างๆ ที่แสดงไว้ในห้องนิทรรศการเกือบเสร็จแล้วจริงๆ ซูเสวี่ยจื้อคิดอยู่ว่าจะติดต่อเขาให้หาเวลาว่างมาดูที่วิทยาลัยเพื่อออกความเห็นติชม
พอถึงวิทยาลัย เธอหยิบกุญแจแล้วไปที่อาคารปฏิบัติการ เดินเข้าไปในห้องปฏิบัติการที่ตั้งชื่อตามเจ้าสัวใหญ่ของสกุลฟู่
ทางวิทยาลัยแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ผืนหนึ่งเพื่อสร้างอาคารแห่งนี้ ยังติดต่อสั่งซื้อเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งทันสมัยที่สุดในยุคนี้จากต่างประเทศ รอเมื่อติดตั้งเครื่องมือทุกอย่างเข้าที่ ห้องปฏิบัติการก็จะค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์
เมื่อก้าวเข้าสู่ด้านใน จะต้องผ่านห้องนิทรรศการรำลึกถึงเจ้าสัวใหญ่สกุลฟู่เป็นอย่างแรก
ฟู่หมิงเฉิงเดินเข้าไปแล้ว เริ่มไล่ดูจากภาพถ่ายเต็มตัวพร้อมด้วยชีวประวัติโดยย่อเป็นภาษาจีนและอังกฤษของเจ้าสัวใหญ่ที่แขวนอยู่บนฝาผนังเป็นภาพแรกไปตามลำดับอย่างช้าๆ
สุดท้ายเขาหยุดอยู่เบื้องหน้าภาพรายละเอียดการผ่าสมองตรวจวินิจฉัยทางพยาธิวิทยากายวิภาคที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ สายตาจับจ้องอยู่ที่ภาพ ยืนนิ่งไม่ขยับตัวเป็นนาน
สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้น ซูเสวี่ยจื้อพูดเสียงเบาๆ “อาจารย์ฟู่ หากคุณรู้สึกว่าภาพนี้ไม่เหมาะสม สามารถเอาออกได้ครับ”
ฟู่หมิงเฉิงดึงความคิดคืนมา เขาสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ภาพนี้เลือกได้ดีมากครับ ที่แห่งนี้เป็นวิทยาลัยแพทย์ แสดงไว้ที่นี่มีคุณค่ามาก เมื่อครู่นี้ผมแค่นึกไปถึงคราวเคราะห์ของคุณพ่อเลยเศร้าใจอยู่บ้าง แล้วก็โกรธตนเองด้วย ถ้าเมื่อก่อนผมใส่ใจและอยู่เป็นเพื่อนท่านมากขึ้น บางทีคืนวันนั้นท่านคงไม่ทะเลาะกับพี่ชายผมและเกิดเหตุแบบนั้นขึ้น แล้วก็ไม่ถึงกับลาจากโลกนี้ไปเร็วเพียงนี้…”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย ดูออกว่าพยายามควบคุมอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่
ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกหม่นหมองตามเขาไปด้วย เธอพูดปลอบใจอีกฝ่าย “อาจารย์ฟู่อย่าเสียใจเกินไปเลยครับ ถึงแม้คุณพ่อของอาจารย์จะจากไปแล้ว แต่อาณาจักรสกุลฟู่ที่ท่านสร้างขึ้นมากับมือเปรียบดั่งตราเกียรติยศแห่งชีวิตที่คงอยู่ต่อไปแทนตัวท่าน ผมเชื่อว่าคุณไม่เพียงสืบทอดอาณาจักรนี้ได้ ในอนาคตจะต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
ฟู่หมิงเฉิงเพ่งมองเธอพลางพยักหน้าเนิบๆ “ขอบคุณครับ ผมหวังว่าจะเป็นแบบที่คุณพูด”
เธออมยิ้มเอ่ย “อาจารย์ก็ได้ดูแล้ว ที่นี่โดยรวมจะแบบนี้ ถ้าอยากเพิ่มหรือตัดส่วนไหนออกก็บอกผมได้เต็มที่ครับ พวกผมจะพิจารณาเนื้อหาที่จัดแสดงตามความคิดเห็นของอาจารย์เป็นอันดับแรก”
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาออกจากใบหน้าเธอมองไปทั้งสี่ด้าน “สมบูรณ์ไร้ที่ติแล้วครับ ผมไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนจำเป็นต้องแก้ไข ก็ทำไปตามนี้เลย ขอบคุณคุณมาก ขอบคุณสำหรับงานที่ดีเยี่ยมของคุณ”
เมื่อคนในครอบครัวพอใจ ซูเสวี่ยจื้อก็โล่งอก เธอคลี่ยิ้มกล่าว “คุณเห็นว่าไม่มีปัญหาก็พอ ถ้าอย่างนั้นพวกผมจะจัดนิทรรศการไปตามนี้ครับ”
เขาพยักหน้ารับ ทั้งคู่คุยสัพเพเหระต่ออีกสองสามคำ ซูเสวี่ยจื้อถึงปิดไฟแล้วเดินออกมาด้วยกัน
เพราะเป็นวันอาทิตย์ ด้านนอกอาคารปฏิบัติการจึงไม่ได้เปิดไฟตอนกลางคืน รอบตัวมีเพียงแสงสลัวๆ เธอมองเห็นพื้นไม่ถนัดตา ตอนลงบันไดเท้าเธอสะดุดก้อนอิฐที่เผยอขึ้นมา หน้าคะมำเจียนตกบันไดรอมร่อ
ฟู่หมิงเฉิงที่เดินอยู่ด้านข้างยื่นมือมาช่วยประคองตัวเธอไว้ในชั่วอึดใจ
หญิงสาวยืนทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว เธอตั้งตัวติดแล้วรีบกล่าวขอบคุณ
เขาปล่อยสองมือที่จับแขนเธอไว้ออกอย่างช้าๆ ถามเธอทันทีว่าเท้าพลิกหรือเปล่า
ซูเสวี่ยจื้อส่ายหน้า “ไม่ครับ ขอบคุณครับ”
“คุณไม่เป็นไรก็ดี” เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นในฉับพลัน “ผมควรกลับได้แล้ว”
เธอจึงตามไปส่งเขา
ระหว่างเดินไปที่ประตูวิทยาลัย เขาไม่พูดไม่จาคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ เธอนึกว่าเขายังจมอยู่ในความคิดถึงพ่อที่ล่วงลับไป จึงไม่ส่งเสียงรบกวนเป็นธรรมดา
ตอนเขากับเธอใกล้จะถึงประตูวิทยาลัย เขาชะงักเท้ากึกและเบือนหน้ามา
“ซูเสวี่ยจื้อ!” เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนจะประหม่าอยู่สักหน่อย
ซูเสวี่ยจื้อหยุดเดินแล้วหันไปมองเขา รอให้เขาพูดต่อ
แต่ไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆ เขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่อีก
“อาจารย์ฟู่ ยังมีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ” ซูเสวี่ยจื้อรออยู่ครู่หนึ่งถึงถามขึ้น เห็นเขามองเธอด้วยท่าทางจะพูดแต่ก็ไม่พูดแล้วนึกฉงนใจอยู่ จังหวะนี้เองคนเฝ้ายามวิ่งเข้ามาบอกว่าข้างนอกมีตำรวจลาดตระเวนคนหนึ่งมาหาเธอ
ซูเสวี่ยจื้อมาถึงหน้าประตูแล้วจำคนที่มาหาได้ เขาเป็นลูกน้องคนหนึ่งของญาติผู้พี่ เคยเจอหน้ากันมาก่อน เขาขี่จักรยานของญาติผู้พี่คันนั้นรุดมาที่นี่พร้อมข่าวร้าย
เกิดเรื่องขึ้นกับเด็กผู้หญิงชื่อโจวเสี่ยวอวี้ในหมู่บ้านชาวนาสกุลโจวแล้ว คืนนี้หิมะถมกันหนาจนคอกแพะพังลงมา ตอนนั้นเธอให้อาหารแพะอยู่ในนั้น จึงโดนทับอยู่ข้างใต้ หลังจากดึงตัวออกมาพบว่าศีรษะแตกเลือดไหลไม่หยุด อาสะใภ้สามตกใจทำอะไรไม่ถูก ฉุกคิดได้ว่าก่อนหน้านี้รองหัวหน้าสถานีตำรวจแซ่เยี่ยคนนั้นเคยบอกไว้ตอนมาลาดตระเวนที่หมู่บ้านว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้พวกเธอไปหาเขาที่สถานีตำรวจได้
เพราะไปสถานีตำรวจใกล้กว่าไปหาซูเสวี่ยจื้อที่วิทยาลัย อาสะใภ้สามกับพวกเพื่อนบ้านเลยพาโจวเสี่ยวอวี้มาขอความช่วยเหลือที่สถานีตำรวจ เยี่ยเสียนฉีพาเด็กน้อยไปที่โรงพยาบาลชิงเหอ และให้ลูกน้องไปหาญาติผู้น้องที่วิทยาลัยเพื่อบอกข่าวนี้ให้เธอรู้
ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่ง ซูเสวี่ยจื้อกับฟู่หมิงเฉิงต่างทำสีหน้าไม่สู้ดี
“ผมจะไปส่งคุณที่โรงพยาบาล”