X
    Categories: ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 8

ชั่วพริบตานี้เอง ปากกระบอกปืนกลับหันเล็งไปยังแผ่นหลังของคนชุดขาวที่กำลังวิ่งไปหาคุณชายหวัง

ปัง!

ข้างใบหูซูเสวี่ยจื้อได้ยินเสียงดังสนั่นจากเข็มแทงชนวนจุดเชื้อไฟให้ดินปืนระเบิดภายในลำกล้องซ้ำอีกครั้ง

เธอยังอยู่ในท่าเดิมตอนถูกท่านสี่ทิ้งเอาไว้ นั่งยองๆ อยู่บนพื้นเรือด้วยความตะลึงพรึงเพริดจนลืมความกลัวไปเลยทีเดียว

ใครจะคิดว่าเป้าหมายของมือปืนคนที่สองไม่ใช่คุณชายหวังที่อยู่ข้างหน้า แต่เป็นผู้ชายคนนี้

หญิงสาวนึกว่าแผ่นหลังของคนชุดขาวต้องโชกเลือดแล้ว ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผันอีกครั้งเบื้องหน้าสายตาเธอ

คนที่ตกเป็นเป้ายิงราวกับมีตาหลัง เสี้ยวขณะที่มือปืนเหนี่ยวไก เขาชะงักนิดหนึ่งก่อนจะฟุบลงหมอบกับพื้นเรือแล้วม้วนตัวกลิ้งไปด้านข้างอย่างว่องไว

ลูกกระสุนพลาดเป้าพุ่งทะลุแผ่นไม้กระดานพื้นเรือแผ่นหนึ่งห่างจากเขาไปแค่สิบกว่าเซนติเมตรแตกเป็นรูใหญ่เศษไม้ปลิวกระจาย ชายหนุ่มผงกหัวขึ้น ขณะซูเสวี่ยจื้อยังมองตามไม่ทันก็เห็นมือเขาถือปืนไว้กระบอกหนึ่งยิงสวนกลับไปอย่างฉับไว

ปังๆ

เสียงยิงปืนดังขึ้นสองเสียง

มือปืนคงจะคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าตนเองจะยิงนัดนี้พลาด ส่งผลให้โดนยิงสวนเข้าที่แขน แต่มือปืนยังคงแข็งแกร่งปราดเปรียว เผ่นพรวดเดียวเข้าไปหลังเก้าอี้ตัวหนึ่งอาศัยเป็นที่กำบังอย่างรวดเร็วมากและยิงปืนมาทางนี้ไม่หยุด

“หมอบลงเดี๋ยวนี้!”

เขายังผงกหัวจ้องเขม็งไปที่มือปืนฝั่งตรงข้ามอย่างไม่วางตา ระหว่างยิงตอบโต้อีกที จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังลั่น

ซูเสวี่ยจื้อสะดุ้งสุดตัวดึงสติคืนมา

ถึงแม้เขาไม่ได้มองมาทางนี้ แต่คำบอกนี้น่าจะหมายถึงเธอ

เธอลนลานหมอบลงกับพื้นเอามือกุมหัว กำลังจะหลับตาสวดมนต์ขอให้แคล้วคลาด อย่าโดนลูกหลงเด็ดขาด ทันใดนั้นก็มีคนฉุดเธอลุกขึ้นจากทางข้างหลังแล้วคุ้มกันเธอออกจากดาดฟ้าเรือชั้นบนถอยไปที่หัวบันไดอย่างฉับไว

ซูเสวี่ยจื้อเงยหน้าขึ้นถึงเห็นหน้าคนที่พาเธอหนีจากเขตอันตรายเมื่อครู่ได้ชัดเจน

เป็นชายวัยกลางคนผิวคล้ำรูปร่างกระชับแข็งแรง ดูคุ้นหน้าอยู่สักหน่อย

เธอนิ่งไปนิดหนึ่งก็นึกขึ้นได้

ตอนวันออกเดินทาง เธอเคยเห็นเขาที่ท่าเรือ ตอนนั้นเขาอยู่กับจ้าวมังกรเจิ้ง

ขณะเธอยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ก็เห็นซูจงกับคนงานที่บ้านสองสามคนรุดมาถึงอย่างเร่งรีบ

ซูจงที่เหงื่อออกท่วมหัวแสดงสีหน้าร้อนรน ครั้นเงยหน้าขึ้นเห็นนายหญิงน้อยของตนเองก็ถอนหายใจโล่งอก รีบไต่บันไดขึ้นมาพูดเสียงหอบแฮก “นายน้อย! คุณไม่เป็นไรนะขอรับ ดีเหลือเกิน…” เขาพูดไม่ทันจบก็ฉุกคิดขึ้นได้ “นายน้อยเยี่ยล่ะขอรับ เขาอยู่ไหน จะตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า”

ซูเสวี่ยจื้อเดาว่าตอนนี้ญาติผู้พี่ที่เมาหัวราน้ำยังคงนอนหลับฝันหวานอยู่ ต่อให้ตกใจตื่นเพราะเสียงปืนก็ไม่น่าจะถึงขั้นวิ่งออกมาหาที่ตายตรงดาดฟ้าเรือ เธอจึงบอกเรื่องนี้ให้ลุงจงฟังเพื่อให้เขาได้สบายใจ

ซูจงปาดเหงื่อออกแล้วถึงเพิ่งสังเกตเห็นอีกคนหนึ่งในตอนนี้ พอจำได้ว่าเขาคือหวังหนีชิวก็ถามอย่างแปลกใจ “หัวหน้าสาม? ทำไมคุณก็อยู่ที่นี่ด้วยขอรับ”

ซูเสวี่ยจื้อพูดขึ้น “ลุงจง เมื่อครู่ผมติดอยู่ข้างบน หัวหน้าสามเป็นคนช่วยผมแล้วพาผมออกมาครับ”

ซูจงอุทานคำหนึ่งแล้วกุมมือของหวังหนีชิวแน่นทันที “โอย ขอบคุณเหลือเกินๆ หัวหน้าสามขอรับ ท่านเป็นผู้มีบุญคุณต่อพวกผม!”

หวังหนีชิวพูดยิ้มๆ “ท่านหัวหน้าใหญ่ส่งผมมาทำงานนิดหน่อย บังเอิญลงเรือลำเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าจะเจอะเจอเรื่องแบบนี้ก็เลยพานายน้อยสกุลซูออกมาด้วยกัน เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

ขณะซูจงจับมือเขาอย่างซาบซึ้งใจล้นเหลือ ใจหญิงสาวกลับยังพะวักพะวนถึงเหตุการณ์ข้างบน พอหูไม่ได้ยินเสียงปืนแล้ว เธอจึงวิ่งลิ่วๆ ย้อนกลับไปหลังประตูทางออกไปดาดฟ้าเรือบานนั้น เยี่ยมหน้าครึ่งหนึ่งออกไปดูข้างนอก

มือปืนล้มกองอยู่หลังเก้าอี้ที่ซ่อนตัวนอนนิ่งไม่ไหวติง

ส่วนท่านสี่คนนั้นกำลังลุกขึ้นนั่งบนพื้นเรือช้าๆ และยังถือปืนอยู่ในมือ

“พี่สี่ ไม่เป็นไรนะครับ”

หวังถิงจือวิ่งตะบึงกลับมายอบตัวลงข้างๆ เขาอย่างขวัญหาย

“สบายใจได้ ฉันไม่เป็นไร” ท่านสี่ลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามเสื้อกับกางเกงสีขาว

ด้านเป้าจื่อรีบเข้าไปดูมือปืนแล้วกลับมารายงาน “ตายสนิทครับ”

ท่านสี่พยักหน้า “ข้างบนหมดเรื่องแล้ว คุณลงไปสำรวจดูว่ายังมีพวกเดียวกับมือปืนอยู่อีกไหม”

หลังจากเป้าจื่อพาคนไปข้างล่าง หวังถิงจือจ้องมองมือปืนที่นอนจมกองเลือดอยู่คนนั้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอยอยู่บ้าง

จู่ๆ เขาก็หันหน้าขวับราวกับแจ่มแจ้งในบัดดล “ผมรู้แล้ว เป้าหมายของคนกลุ่มนี้คือพี่สี่ครับ ตอนแรกจงใจยิงปืนมาทางผม จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์จะล่อพี่สี่ออกมา”

ท่านสี่หยักยิ้ม “เข้าไปก่อนเถอะ เผื่อยังมีพวกของคนร้ายอีก”

นี่เท่ากับยอมรับโดยปริยายแล้ว

หวังถิงจือไม่ไป เขาหันหลังเดินไปตรงหน้ามือปืนที่ตายแล้วคนนั้น หยิบปืนขึ้นยิงใส่ร่างบนพื้นซ้ำๆ เป็นการระบายแค้นจนลูกกระสุนหมดเกลี้ยง

“พี่สี่ ใครเป็นคนลงมือกับพี่! พี่บอกผม ผมจะแหวกท้องลากไส้มันออกมาให้ได้!” เขาเดินกลับมาพูดเน้นเสียงทีละคำลอดไรฟัน ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม

ท่านสี่คลายยิ้มตบไหล่เขา บอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ถิงจือ เข้าไปเถอะ”

หวังถิงจือดูจะไม่เต็มใจนัก แต่ยังทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายก้าวเข้าห้องไป

ซูเสวี่ยจื้อยังแอบมองอยู่หลังประตูข้างบันได เห็นท่านสี่บอกให้คุณชายหวังกลับไปแล้วทำท่าคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ เขาหันหน้ามองซ้ายทีขวาทีอย่างรวดเร็ว

เธอโผล่ออกมาทันทีโดยไม่หยุดคิด คลี่ยิ้มด้วยจิตใจผ่อนคลายเหมือนคนรอดตายมาได้พร้อมกับโบกมือให้เขาเป็นเชิงว่าตนเองไม่เป็นไร

ถึงแม้จะโดนทิ้งกลางคัน แต่เธอเข้าใจได้

ในสถานการณ์แบบนั้นหากเปลี่ยนเป็นเธอก็คงทำแบบเดียวกัน

ไม่ใช่ญาติใช่มิตร เขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องดูแลเธอสักหน่อย ตอนเขาเข้ามาพาเธอหนีก็ถือว่ามีน้ำใจไม่เลวแล้ว

เธอโบกมือบอกว่าปลอดภัยแล้วอย่างยิ้มแย้ม แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบสนองใดๆ พอมองเห็นแวบหนึ่งว่าตนกระโดดพรวดออกมาจากหลังประตูก็หันหน้ากลับทันที แล้วสาวเท้าเดินไปตรงราวรั้วริมดาดฟ้าเรือชั้นบน

เขาน่าจะอยากสำรวจดูข้างล่าง

ซูเสวี่ยจื้อเก้อกระดากทันใด รอยยิ้มกับมือที่ยังโบกไปมาข้างนั้นนิ่งค้างกลางอากาศ เธอชะงักไปประเดี๋ยวหนึ่งแล้วหุบยิ้ม ลดมือลงข้างลำตัวตามเดิมด้วยท่าทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จริงสิ ยังไม่ได้ขอบคุณหัวหน้าสามของสมาคมชาวน้ำแซ่หวังคนนั้นด้วยตนเองเลย เขาเป็นคนเสี่ยงอันตรายช่วยพาออกมา

เธอนึกในใจแล้วหมุนตัวไป

ในเวลานี้เองเสียงยิงปืนติดต่อกันหลายนัดได้ดังมาจากทางท้ายเรือด้านล่างอีกครั้ง

ชั่วอึดใจก่อนหน้าดาดฟ้าเรือชั้นล่างยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แต่ขณะนี้กลับว่างโหรงเหรง เหลือเพียงศพมือปืนที่ตกลงไปศพนั้น

ตรงทางเข้าสู่ท้องเรือซึ่งเป็นห้องเก็บสินค้าท้ายเรือ ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งออกมา เขาถูกยิงที่ขาข้างหนึ่งจนเลือดไหล วิ่งกะโผลกกะเผลกไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิตได้ไม่กี่ก้าวก็ทรงตัวไม่อยู่ ล้มคว่ำลงบนพื้นเรือ

เป้าจื่อพาคนไล่ตามออกมาจับตัวไว้ พอแหงนหน้าขึ้นเห็นท่านสี่ชะโงกตัวออกมาจากชั้นบนก็ตะโกนบอก “ท่านสี่ครับ เจอตัวเจ้านี่ในห้องเก็บสินค้าข้างล่างพกปืนไว้บนตัว พอเห็นพวกผมก็ยิงปืนแล้ววิ่งหนี น่าจะเป็นพวกเดียวกัน”

“พวกระยำเอ๊ย!”

หวังถิงจือที่เพิ่งเข้าไปในห้องสบถด่าคำหนึ่งก่อนหมุนตัววิ่งออกมาอีก เขาไม่ลงทางบันได แต่จับราวรั้วพลิกตัวข้ามลงไปยังชั้นกลาง แล้วค่อยกระโดดจากชั้นกลางลงไปข้างล่างอีกที จากนั้นผลักผู้คุ้มกันออก เดินเข้าไปเหยียบแผลโดนยิงที่ขาของคนคนนั้น

“พูด! ใครส่งพวกแกมาฆ่าพี่สี่ของฉัน” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ทีแรกอีกฝ่ายหลับตาอยู่ไม่ส่งเสียงสักแอะ พอโดนหวังถิงจือเอาหัวรองเท้าหนังทรงแหลมเตะแผลหลายทีก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ แต่ยังหลับตาปิดปากไว้ไม่พูดจา

หวังถิงจือโกรธจัด คว้าปืนจากมือผู้คุ้มกันมายิงหัวเข่าขาอีกข้างหนึ่งของเขาจนกระดูกแตก

“ไม่พูดใช่ไหม ฉันมีวิธีจัดการแกอยู่แล้ว” เขาแค่นเสียงพูด

“คงรู้ว่าตรงนี้คืออะไรนะ ตอนนั้นอี้อ๋อง* หรือเจ้ากบฏผมยาวสือต๋าไคก็ขาด้วนเพราะหัวเข่าถูกตัดทิ้ง เขาเป็นชายชาติทหารคนหนึ่ง โดนแล่เนื้อเถือหนังก็ไม่สะดุ้งสะเทือน น่าเสียดายที่ฉันเกิดช้าไปหลายสิบปีเลยไม่ได้เห็น แต่ไม่เป็นไร มีแกอยู่ไม่ใช่เหรอ ฉันอยากดูว่าแกจะทนโดนเฉือนเนื้อได้กี่ที จะใจเด็ดเท่าสือต๋าไคในอดีตหรือเปล่า” ว่าแล้วก็โยนปืนทิ้งบอกให้ผู้คุ้มกันส่งมีดมาให้

คนคนนั้นลืมตาขึ้นเห็นเขาถือมีดจรดหนังหัวกลางกระหม่อมของตนเองก็ทำหน้าตื่นกลัว พูดเสียงดังลั่น

“ผมพูดแล้วๆ พวกผมมีกันทั้งหมดสี่คน แยกย้ายกันลงเรือมาระหว่างทาง มีคนจะให้เงินตั้งตัว สั่งให้ลอบฆ่าท่านสี่ให้ได้ แผนการคือยิงปืนใส่คุณชายหวังก่อน รอล่อท่านสี่ออกมาแล้วผมกับเจ้ารองค่อยลงมือพร้อมกัน เมื่อครู่ผมเกิดกลัวขึ้นมา นึกเสียใจทีหลังก็เลยไม่ออกมา เจ้ารองน่าจะตายอยู่ข้างบน…”

“ไอ้พวกสารเลว สมน้ำหน้า ตายซะได้ก็ดี ใครจ้างพวกแกมา” หวังถิงจือเตะเขาสุดแรงอีกที

คนคนนั้นไม่กล้าร้องด้วยความเจ็บแล้ว

“ตายไปสองคน รวมผมเป็นสาม อีกคนที่เหลือคือคนจ้างพวกผม เขาหาบกระจาดขายบวบ ตอนนี้น่าจะซ่อนตัวอยู่ในห้องเตียงรวมชั้นล่าง พวกคุณจับเขาได้ก็รู้ตัวคนสั่งการแล้ว”

เป้าจื่อหันหลังพาคนตรงไปยังห้องเตียงรวมชั้นล่างทันที กลับได้ยินเสียงปืนจากห้องข้างในหลายนัดและเสียงผู้โดยสารร้องเอะอะตกใจ มีคนกรูออกมาจากประตูทางเข้าชั้นในเรือหนีกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง มีคนหนึ่งในนั้นวิ่งสุดฝีเท้าไปทางกราบเรือตรงดาดฟ้าเรือ ดูท่าทางเหมือนคิดจะกระโดดลงน้ำ

“จับเขาไว้!” เป้าจื่อตะโกนดังลั่นแล้วไล่ตามไปโดยไม่รอช้า

ทว่าทางเดินไปดาดฟ้าเรือนั้นคับแคบเบียดเสียดไปด้วยผู้โดยสารที่ตกใจกลัวเสียงปืนเมื่อครู่นี้ เป้าจื่อจึงยิงปืนขึ้นฟ้านัดหนึ่งแล้วตวาดให้หลีกทาง แต่ยังคงต้องชะลอตัวลงเพราะโดนกีดขวาง เขาไม่กล้าผลีผลามยิงปืนไปข้างหน้าเพราะกลัวพลาดไปโดนคนอื่น ได้แต่มองดูคนคนนั้นวิ่งไปถึงข้างกราบเรือแล้วปีนขึ้นไปตั้งท่าจะกระโดดน้ำต่อหน้าต่อตา…

หวังถิงจือทั้งผลักทั้งเบียดฝ่าฝูงชนที่แตกตื่นชุลมุนคละเคล้าเสียงกรีดร้องปนเสียงด่าทอ เหยียบไปบนแขนกับขาของใครบ้างก็ไม่รู้ที่ล้มลงบนพื้น พุ่งตัวกระโจนไปข้างหน้าสุดกำลังพร้อมกับเอื้อมมือคว้าขาข้างหนึ่งของคนคนนั้นไว้ได้ในที่สุด

ร่างของคนทั้งคู่ไถลไปชนราวรั้วพร้อมกันตามแรงเฉื่อย

“ไอ้บัดซบ! ดูซิว่าจะหนีไปไหนได้…”

เขาเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น แต่เสียงหัวเราะยังไม่ทันขาดหายไปเรื่องคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

เรือฝูไหลนั้นดัดแปลงมาจากเรือเก่า ราวรั้วของดาดฟ้าเรือชั้นล่างมีบางจุดที่ขึ้นสนิมมานานแล้ว แต่บริษัทเดินเรือไม่ได้เปลี่ยนใหม่สักที เวลาปกติจะมองไม่เห็น ทว่าเมื่อครู่นี้โดนชนเต็มแรงอย่างจัง ราวรั้วซี่หนึ่งที่ผุกร่อนแต่เดิมรับแรงกระแทกจากน้ำหนักของผู้ชายสองคนไม่ไหว จุดที่ฐานซี่รั้วเชื่อมติดกับพื้นเรือจึงหักออกทันใด

เป้าจื่อเห็นคุณชายหวังยั้งตัวไม่อยู่ร่วงลงแม่น้ำไปพร้อมคนคนนั้นกับตา

“คุณชายหวัง!”

เขาถลันไปตรงจุดตกน้ำแล้วชะโงกตัวออกไป แต่เห็นเพียงระลอกคลื่นซัดสาด ยังจะพบร่างของหวังถิงจืออีกที่ไหนกัน

หลังเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นติดๆ กันไม่ขาดสาย เรือจึงทอดสมอหยุดจอด

ตอนซูเสวี่ยจื้อวิ่งไปถึงดาดฟ้าเรือชั้นล่างก็ได้ยินว่าท่านสี่กระโดดลงน้ำไปช่วยคนแล้ว บริเวณกราบเรือเต็มไปด้วยคนที่ยืนมุงดูพลางพูดคุยซุบซิบกัน

ดูเหมือนเป้าจื่อจะว่ายน้ำไม่เป็น เขาจ้องเขม็งไปยังสายน้ำซึ่งม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นด้วยสีหน้าร้อนรุ่มใจ ย่ำเท้าวนไปวนมาไม่หยุดอยู่ข้างราวรั้วที่หักพังเป็นแถบ

ผ่านไปชั่วครู่ตรงบริเวณกระแสน้ำไหลแรงใกล้ๆ บรรดาลูกเรือที่กระโดดลงน้ำงมหาคนก็ทยอยโผล่หัวขึ้นมาจับไม้ไผ่ยาวที่พรรคพวกบนเรือยื่นให้แล้วปีนขึ้นเรือมานอนแผ่หลาตัวเปียกแฉะบนพื้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง หอบหายใจแฮกๆ ไม่หยุด

เป้าจื่อยังไม่เห็นเจ้านายลอยตัวขึ้นเหนือน้ำจึงถลึงตาแทบหลุดจากเบ้า เขาตะคอกเสียงดัง “ลงน้ำไปอีก! ใครช่วยคนได้มีเงินให้ หนึ่งพัน สองพัน หรืออยากได้เท่าไรก็เอาไปเลย อยากเป็นข้าราชการก็ให้เป็น”

พวกลูกเรือสบตากันไปมาแล้วนิ่งเงียบไม่พูดจา

มีลูกเรือคนหนึ่งพูดเสียงเบาๆ “นายท่านขอรับ ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่อยากได้รางวัล แต่ไม่มีปัญญาจริงๆ จุดนี้ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนยังพอไหว ตอนนี้น้ำเชี่ยวเกินไปจริงๆ กระแสน้ำจากต้นน้ำไหลซัดมาตลอดจนลอยตัวอยู่กับที่ไม่ได้…”

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ใต้พื้นน้ำที่กว้างถึงสิบกว่าจั้ง แถบนี้ยังมีหินโสโครกมากมายเต็มไปด้วยอันตรายทุกที่

ถึงจะได้เงินแต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ใช้เงิน ไม่ใช่ญาติโกโหติกา ใครจะเอาชีวิตตนเองเข้าไปเสี่ยงกันล่ะ

พวกลูกเรือเดินทางไปมาทางน้ำเป็นเวลานาน เห็นสายน้ำกลืนกินชีวิตคนมามากมาย ดังสุภาษิตที่ว่าอย่าเกี่ยวแฝกมุงป่า อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เป็นสัจธรรมที่ใครๆ รู้กันดี

ปัง!

เป้าจื่อยิงปืนขึ้นฟ้า ดวงตาเขาแดงก่ำ หน้าขมึงทึง “พวกแกลงไปเดี๋ยวนี้! ไม่ลงไป ฉันจะเป่าขมับพวกแกก่อนเลย”

ลูกเรือคนหนึ่งคุกเข่าลงดังตุบ “นายท่านโปรดเมตตาปรานี ไว้ชีวิตพวกผมด้วย พวกผมมีพ่อแม่ลูกเมียต้องเลี้ยงดู ถ้าพวกผมตาย ครอบครัวก็ต้องอดตายตามไปด้วย เมื่อครู่นี้เป่านกหวีดเรียกเรือแดงมาแล้ว ทางนั้นมีคนว่ายน้ำแข็ง ท่านรออีกครู่เดียว…”

คนอื่นที่เหลือต่างโขกหัวไม่หยุดและพร่ำพูดอ้อนวอนตามกัน

ปีกจมูกของเป้าจื่อขยับพะเยิบพะยาบด้วยความเดือดดาล หนังตากระตุกริกๆ ไม่หยุด เขาเอาปากกระบอกปืนจ่อหัวลูกเรือแล้วเหนี่ยวไกช้าๆ

“โผล่ขึ้นมาแล้ว! ดูเหมือนโผล่ขึ้นมาแล้ว”

ทันใดนั้นก็มีคนชี้ไปด้านหน้าพร้อมตะโกนบอกเสียงดัง

ซูเสวี่ยจื้อรีบมองตามไป

เหนือผิวน้ำเบื้องหน้าห่างไปราวเจ็ดแปดสิบเมตร เห็นเงาร่างสีขาวๆ ปรากฏขึ้นหลังหินโสโครกสีดำที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาก้อนหนึ่ง

เงาร่างสีขาวนั่นเป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังพยุงคนอีกคนหนึ่งลอยคออยู่เหนือน้ำ

ดูเหมือนเขาอยากจะเข้าไปใกล้ๆ หินโสโครกก้อนนั้น แต่กลับโดนกระแสน้ำซัดลอยไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนหันหลังกลับไปไม่ได้

ทว่าทางเบื้องหน้าของเขามีริ้วคลื่นแตกเป็นฟองอากาศสีขาววงใหญ่ผุดขึ้นปุดๆ กลางพื้นน้ำห่างไปไม่ไกล

สำหรับคนที่ไม่ได้เติบโตมากับสายน้ำ ผืนฟองคลื่นเล็กละเอียดบางเบานี้ดูคล้ายขนนกกระจุกหนึ่งร่วงหล่นจากฟ้า

ทว่าจริงๆ แล้วมันมีอันตรายแอบแฝงอยู่ข้างใต้ เพราะสิ่งนี้บ่งบอกถึงวังน้ำวนขนาดใหญ่

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นคน ต่อให้เป็นเรือลำหนึ่ง หากมาถึงตรงนี้แล้วไม่คุมหางเสือให้ดีก็มีโอกาสมากที่จะถูกดูดเข้าไป ผลสุดท้ายคือถูกฝังร่างไว้ที่ก้นแม่น้ำ

“ท่านสี่!” เป้าจื่อวิ่งไปยังหัวเรือแล้วตะเบ็งเสียงเรียก กลับเห็นเงาร่างสีขาวนั่นลอยเข้าไปหาริ้วคลื่นแตกเป็นฟองอากาศสีขาววงใหญ่นั้นใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น ทุกทีต่อหน้าต่อตา

นัยน์ตาเขาแดงก่ำดุจเลือด หมุนตัวขวับไปตวาดสุดเสียง “หย่อนเรือเล็กลง ฉันไปเอง”

บนเรือเกิดเสียงกระซิบกระซาบดังระงมเป็นครั้งที่สอง

นี่เขาจะเอาชีวิตไปทิ้งชัดๆ

นายเรือกับต้นเรือกุลีกุจอทำตามคำสั่ง

ซูเสวี่ยจื้อเอาสองมือจับกราบเรือไว้แล้วชะโงกตัวออกไป เหงื่อออกกลางอุ้งมือเธอไม่หยุด

ทันใดนั้นด้านหลังเธอก็มีคนหยิบเชือกลวดขดหนึ่งจากบนดาดฟ้าเรือ ก่อนกระโจนตัวลงน้ำดังตูม เรียกเสียงร้องอุทานจากคนรอบข้าง ชั่วพริบตาก็หายไปไม่เห็นวี่แวว

ตอนเขาโผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่กลางแม่น้ำห่างไปสิบกว่าเมตรแล้ว

เขาคือหวังหนีชิวหัวหน้าสามของสมาคมชาวน้ำนั่นเอง!

เขาราวกับมีครีบปลางอกออกมาสองข้าง ดำผุดดำว่ายไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกรากจนถึงด้านข้างหินโสโครกก้อนนั้นในไม่กี่อึดใจ ก่อนยกลำตัวครึ่งหนึ่งขึ้นเหนือน้ำ ผูกปลายเชือกเป็นเงื่อนบ่วงรูดโยนไปคล้องหินโสโครกไว้ได้อย่างแม่นยำแล้วดึงรูดให้แน่นก่อนจะอาศัยเชือกเส้นนั้นไต่ขึ้นไปด้านบน จากนั้นส่งเสียงตะโกนไปทางเงาร่างสีขาวที่ลอยไปถึงริมริ้วคลื่นแตกเป็นฟองอากาศสีขาววงใหญ่ด้านหน้า เหวี่ยงแขนสุดแรงขว้างปลายเชือกอีกด้านหนึ่งไปใกล้ๆ เงาร่างสีขาว

คนที่ลอยคออยู่กลางน้ำยกแขนข้างที่ว่างคว้าเชือกที่โยนมาให้ตนเองไว้หมับ ก่อนพันกับฝ่ามือหลายรอบอย่างว่องไวแล้วกำไว้แน่นๆ

หวังหนีชิวสาวเชือกที่ถูกดึงจนตึงลากท่านสี่กับคุณชายหวังที่หมดสติไปแล้วกลับมาด้านข้างหินโสโครก

ตอนนี้เป้าจื่อกับลูกเรือที่ยอมลงน้ำในที่สุดก็พายเรือลำเล็กไปถึงแล้วเช่นกัน และรับตัวพวกเขาขึ้นมาพากลับมายังเรือใหญ่อย่างรวดเร็ว

ดวงตาของท่านสี่มีเลือดฝอยแดงเรื่อๆ ขึ้นจนทั่ว ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย พอขึ้นมาก็ยืนเกาะราวรั้วก้มตัวออกไปนอกเรือไออย่างรุนแรง

เป้าจื่อปรี่เข้าไปหาด้วยสีหน้าห่วงใยอย่างยิ่ง “ท่านสี่ ท่าน…”

ขณะท่านสี่ก้มหน้าไออยู่ หยดน้ำก็ไหลจากผมสั้นๆ ปรกหน้าผากปอยหนึ่งลงมาหยดแหมะๆ ลงบนสันจมูกโด่งไม่หยุด

เขาโบกมือบอกว่าไม่เป็นไรโดยไม่เงยหน้าขึ้น

ซูเสวี่ยจื้อซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตาไวเหลือบเห็นแขนเสื้อที่เขายกขึ้นปิดปากตอนไอคลับคล้ายจะเปื้อนคราบเลือดจางๆ ดวงหนึ่ง

ไม่ใช่แค่นี้ ข้างต้นขาซ้ายของเขาได้แผลตอนอยู่ในน้ำมาอย่างไรก็สุดรู้ หลังจากขึ้นเรือ ถึงไม่ได้แช่ตัวอยู่ในน้ำ เลือดจากแผลที่ยังไหลไม่หยุดจนเปียกซึมชุดสีขาวเป็นสีแดงฉานปื้นใหญ่เห็นได้ชัดสะดุดตามาก

“ท่านสี่ ขาท่าน…”

เขาหยุดไอในที่สุด โบกมือไปมาอีกครั้งก่อนจะรับเสื้อชั้นนอกจากผู้คุ้มกันคนหนึ่งมาคลุมไหล่ ถึงค่อยยืดตัวขึ้นแล้วก้าวเท้าฉับๆ เดินไปหาคุณชายหวัง

 

ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2567

 

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: