X
    Categories: คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 5 ผู้มาใหม่+เบาะแส

เหลียงเว่ยผิงแข้งขาอ่อน รู้สึกว่าถึงต้องยืนก็ยืนไม่อยู่แล้ว

ใช่ เขาเคยสงสัยในสถานะของหลินหวั่นชิงไม่ใช่เพียงครั้งเดียว

ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้างดงาม ผิวขาวผ่อง เอวบาง…คนตรงหน้าผู้นี้ดูอย่างไรก็ควรจะเป็นสตรี แต่เป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้วที่ราชวงศ์ใต้ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าร่วมสอบเคอจวี่ การเป็นขุนนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง สาเหตุที่เหลียงเว่ยผิงสงสัยนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่อาจยืนยันได้ เป็นเพราะเขาไม่เชื่อว่าจะมีสตรีที่ยินยอมรับโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ตก

เมื่อคิดถึงการหลอกลวงฮ่องเต้ เหลียงเว่ยผิงก็กลืนน้ำลาย…ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เขาก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน จะถือว่าปกป้องคนผิดและหลอกลวงฮ่องเต้ด้วยหรือไม่

บางทีอาจจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้จากใบหน้าที่ประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียวของเหลียงเว่ยผิง หลินหวั่นชิงจึงพูดเสริมว่า “พี่เหลียงไม่ต้องกังวล เรื่องนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้ หากมีวันที่เรื่องแดงออกมาเจ้าก็เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เสีย ข้าจะไม่มีวันทรยศพี่เหลียงอย่างแน่นอน”

“อืม” เหลียงเว่ยผิงพยักหน้า ถึงไม่อยากรู้ก็รู้แล้ว เขาจะสามารถลืมมันได้จริงๆ หรือ เพียงแต่ต่อไปนี้…

เหลียงเว่ยผิงก้มศีรษะลง สายตามองไปที่เสื้อคลุมที่ขาดวิ่นของหลินหวั่นชิง ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ

หลินหวั่นชิงเห็นสายตาของเหลียงเว่ยผิงก็หันมองดูหลังของตนเอง เสื้อคลุมสีเทาอ่อนมีเลือดซึมออกมาจำนวนมากและมีรอยปริบางส่วน แต่โชคดีที่ช่วงนี้อากาศไม่ร้อนและเสื้อตัวในก็สวมไว้ค่อนข้างแน่นหนา จึงไม่เห็นผ้ารัดหน้าอกด้านในโผล่ออกมา

หลินหวั่นชิงจึงพูดกับเหลียงเว่ยผิงว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีใครที่ไว้ใจได้ อย่างไรเสียรบกวนพี่เหลียงช่วยทำความสะอาดบาดแผลให้ข้าด้วย”

เหลียงเว่ยผิงตกตะลึง มือทั้งสองข้างแทบจะพันกัน แต่หลังจากสับสนอยู่ครู่ใหญ่เขาก็เดินไปที่ตู้เตี้ยๆ ข้างผนังแล้วหยิบกรรไกรมาเล่มหนึ่ง

เสียงฉับๆ ดังขึ้น หลินหวั่นชิงหนาวสันหลัง เสื้อผ้ายังพอทำเนา แต่ผ้ารัดหน้าอกด้านในนั้นเปื้อนเลือด หลังจากแห้งแล้วก็ติดกับเนื้อหนังที่ปลิ้นออกมา เพียงดึงเบาๆ กลับเจ็บเสียจนตาลาย เหลียงเว่ยผิงขยับเพียงสองครั้ง เมื่อเห็นท่าทางกัดฟันกลั้นหายใจก็ไม่กล้าลงมืออีก

บางทีอาจเป็นเพราะดึงบาดแผลจนเจ็บเกินไป ขณะที่หลินหวั่นชิงหายใจหอบอยู่บนเตียง ด้วยความเสียใจน้ำตาหลายหยดก็ไหลลงมา น้ำตามีรสชาติเค็มมาก เหมือนเกลือที่ข้ามกาลเวลามาเมื่อสิบสองปีก่อน จู่ๆ ความรู้สึกน้อยใจหรือไม่ยอมแพ้ที่อธิบายไม่ถูกก็พรั่งพรูขึ้นมา นางยืนขึ้นแล้วฉีกผ้าด้านหลังออกอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เลือดที่บาดแผลเพิ่งหยุดไหล เมื่อถูกนางดึงเช่นนี้ก็ไหลทะลักออกมาอีกครา

เหลียงเว่ยผิงมองดูอย่างหวาดกลัว อยากจะเข้าไปห้าม กลับติดที่อุปสรรคชายหญิง ไม่รู้จะลงมืออย่างไรดี

ในเวลานี้เองด้านนอกประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น ทั้งสองต่างตกใจ

หลินหวั่นชิงรีบใช้ผ้าห่มห่อตนเองไว้แล้วถอยกลับไปด้านในของเตียง

“นั่นใคร” ร่างกายที่ ‘ไม่แข็งแรง’ ของเหลียงเว่ยผิงยืนบังอยู่ที่หน้าเตียง กางแขนที่สั่นเล็กน้อยออกแล้วถามออกไปอย่าง ‘เข้มแข็ง’

“ข้าเอง เยี่ยชิง องครักษ์ของใต้เท้าซูแห่งศาลต้าหลี่”

คนทั้งสองในห้องได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะหยุดหายใจ

เหลียงเว่ยผิงถลึงตาด้วยความหวาดกลัว เขาหันไปมองหลินหวั่นชิง กลับเห็นหลินหวั่นชิงมองเขาด้วยท่าทางหวาดกลัวเช่นกัน

ก๊อกๆๆ…

ประตูไม้บางๆ สั่นไหวอีกครั้ง ครานี้แม้แต่เตียงก็พลอยสั่นไปด้วย

หลินหวั่นชิงคิดว่าหากเยี่ยชิงเคาะประตูแรงขึ้นอีกสักนิด ประตูเก่าๆ นั่นคงจะถูกเคาะจนพังเป็นแน่ ดังนั้นการที่พวกเขากำลังสับสนว่าจะเปิดหรือไม่เปิดประตูดีดูเหมือนจะไม่มีความหมายแล้ว…

สุดท้ายเมื่อประตูถูกเปิดออก สิ่งที่เยี่ยชิงเห็นคือเหลียงเว่ยผิงที่มีเหงื่อออกเต็มศีรษะ ยืนเท้าโงนเงนเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียงของหลินหวั่นชิง ส่วนหลินหวั่นชิงซึ่งอยู่บนเตียงใช้ผ้าห่มห่อร่างตนเองเหมือนบ๊ะจ่าง ไม่เหลือช่องโหว่แม้แต่น้อย สายตาที่คนทั้งสองมองเขาดูพยายาม ‘หลบหลีก’ อีกทั้งในสายตาของหลินหวั่นชิงยังมีแววป้องกันตัวเล็กน้อยอีกด้วย

เยี่ยชิงเป็นคนหยาบกระด้าง เขาไม่เข้าใจความวกวนในจิตใจของผู้คนมาโดยตลอด จึงคร้านที่จะเอ่ยถาม ได้แต่นำยาสมุนไพรสองห่อใหญ่บนหลังวางไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยในห้องพลางกล่าวขึ้นว่า “นี่คือยาที่ใต้เท้าซูให้ข้านำมามอบให้”

หลินหวั่นชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง

เยี่ยชิงเอื้อมมือไปคลำหน้าอกอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหยิบขวดกระเบื้องวางลงบนโต๊ะ “ใต้เท้าซูฝากคำพูดให้ข้ามาบอกเจ้าว่าหากรักษาอาการบาดเจ็บหายดีแล้วให้ไปรายงานตัวที่ศาลต้าหลี่”

หลายวันมานี้หลินหวั่นชิงรู้สึกสับสนภายในใจมาโดยตลอด ในยามนี้นางจึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นความจริง จนกระทั่งนางมายืนตัวตรงอยู่นอกห้องหนังสือของซูโม่อี้ ขณะเงยหน้าขึ้นมองป้ายเลี่ยมทองพระราชทาน จึงรู้สึกว่าทั้งหมดเหมือนจะเป็นเรื่องจริง

ขุนนางที่หน้าประตูได้ยินนางรายงานชื่อแซ่แล้วก็นำทางนางมาที่นี่ และยังเปิดประตูให้นางอย่างเป็นกันเองเพื่อให้นางเข้าไปรอข้างใน

นี่เป็นห้องหนังสือที่งดงามแบบเรียบง่าย

ที่ข้างหน้าต่างมีโต๊ะไม้พะยูงหอมตัวหนึ่งและเก้าอี้ไท่ซือหนึ่งตัว ด้านข้างเป็นฉากกั้นขนาดใหญ่รูปทิวทัศน์และนกชิงหลวน กั้นชั้นไม้ตัวสูงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

หลินหวั่นชิงมาถึงหน้าชั้นไม้ตัวหนึ่ง เห็นด้านบนจัดเรียงสำนวนความที่มีชื่อและลำดับกำกับไว้อย่างเรียบร้อย มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด ราวกับก้อนอิฐบนกำแพงเมืองกระนั้น ทั้งที่เยอะแต่ก็เป็นระเบียบยิ่ง

“คดีสังหารสกุลหยางทั้งครอบครัวที่เมืองหยางโจวในรัชศกหงอู่ปีที่หก คดีศพหญิงหัวขาดที่ชิงโจว คดีรับสินบนของเจ้าเมืองจิงโจวและจี้โจว…”

หลินหวั่นชิงเดินไปตามชั้นหนังสือหนึ่งรอบ นางรู้สึกตกใจกับจำนวนสำนวนความยิ่งนัก

ทั้งหมดนี้คือคดีที่ซูโม่อี้จัดการที่ศาลต้าหลี่ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา คดีที่ทั้งมีจำนวนมากและหนักหนา ช่างชวนให้ตะลึงพรึงเพริด เพียงแต่…หลินหวั่นชิงชะงักฝีเท้าคล้ายกับสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงถอยกลับไปที่จุดเริ่มต้นแล้วอ่านชื่อและข้อมูลของสำนวนความอีกครั้ง คนผู้นี้เรียงลำดับสำนวนความเหล่านี้้ตามปี อำเภอ เมือง และชื่อแซ่ของฆาตกรอย่างนั้นหรือ หัวใจนางพลันเต้นแรงขึ้น มือของนางหยุดอยู่ที่ตัวหนังสือตัวเล็กๆ แถวหนึ่งที่ด้านล่างสำนวนความ ‘เทียนตี้เสวียนหวง อวี่โจ้วหงฮวง จย่า อี่ ปิ่ง ติง…อู้ จี่ เกิง ซิน’*

“…” จะต้องว่างมากเพียงใดจึงทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ได้ มุมปากของหลินหวั่นชิงกระตุก จู่ๆ ก็รู้สึกกลัวผู้เป็นนายคนใหม่ของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย

ประตูด้านหลังเขาถูกผลักออก กลิ่นไม้สนผสมกับหญ้าสด ทั้งยังมีกลิ่นหอมของดอกอิงฮวา* สีเขียวเดือนสี่เล็กน้อย เป็นกลิ่นที่สะอาดและสดชื่น

หลินหวั่นชิงหนาวสันหลัง นางหันหลังกลับกำลังจะคารวะกลับเห็นซูโม่อี้มุ่งตรงมาหานางด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แทบจะยันนางเข้ากับชั้นไม้โดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้จะเคยจินตนาการถึงฉากการพบหน้ากันมาก่อนหลายครั้ง แต่เวลานี้หลินหวั่นชิงได้แต่ทำอะไรไม่ถูก

กลิ่นอายความเงียบสงบตอนที่เข้ามาเมื่อครู่เวลานี้ได้โอบล้อมนางไว้หมดแล้ว และเงียบขึ้นหลายเท่าในทันที กระทั่งมีกลิ่นอายของ ‘การฆาตกรรม’ ผสมอยู่เล็กน้อย รวมทั้งความชื้นของกระดาษผสมกับกลิ่นน้ำหมึกใหม่ๆ…

คนผู้นี้น่าจะตรงมาจากห้องสอบสวน

หลินหวั่นชิงพยายามกลั้นหัวใจที่กำลังจะกระโดดออกจากลำคอ เงยหน้าขึ้นเพื่อจะดูสีหน้าของซูโม่อี้ แต่ความสูงของทั้งสองคนแตกต่างกันมากเกินไป แม้หลินหวั่นชิงเขย่งเท้าก็เห็นเพียงลูกกระเดือกของซูโม่อี้เท่านั้น

“ขะ…ข้าน้อย…แค่…”

คนตรงหน้าไม่ได้ฟังนางอธิบาย เขาขยับเพียงเล็กน้อยพลางยื่นแขนยาวเฉียดหูนางไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลบไป”

หลินหวั่นชิงสะดุ้ง นางเลื่อนฝีเท้าไปตามชั้นไม้

ซูโม่อี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย นิ้วยาวแตะลงบนสำนวนความที่นางเพิ่งแตะเมื่อครู่ เอียงกายมองอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็ดึงออกมาเล็กน้อย สำนวนความทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์เป็นเส้นตรง ซูโม่อี้ถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ แล้วจึงมองไปที่หลินหวั่นชิง

“…” เปลือกตาของหลินหวั่นชิงกระตุกอย่างรุนแรง นางพูดอะไรไม่ออก

“ดื่มชาด้วยกัน?”

“หา?”

ดวงอาทิตย์กำลังเจิดจ้า ส่องแสงแวววาว

หลินหวั่นชิงคิดไม่ถึงว่าเสนาบดีศาลต้าหลี่ที่ดูเย็นชาจะสร้างระเบียงที่ดูชวนฝันไว้ในสวนอิงฮวาสีเขียวหลังห้องหนังสือของตนเอง ระเบียงไม่สูง นอกจากม่านสีขาวที่พลิ้วไหวเบาๆ แล้วทั้งสี่ด้านล้วนไม่ได้ปิดบัง เป็นสถานที่ที่ดีในการชมดอกอิงฮวาร่วงและแสงแดดอันอบอุ่น

หลินหวั่นชิงรู้สึกกระวนกระวาย นางเดินตามซูโม่อี้ขึ้นไปที่ตั่ง

ซูโม่อี้ยังคงนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา เขาก้มหน้าจัดเสื้อคลุม ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ผู้หนึ่งยกสำนวนความบางส่วนเดินมา ขณะที่กำลังจะถอยออกไปก็ถูกหลินหวั่นชิงเรียกไว้

“ชาหลงจิ่ง กาหนึ่ง ขอบคุณมาก”

เด็กรับใช้ตกตะลึง เขามองหลินหวั่นชิงแล้วพูดอย่างดูแคลน “ที่นี่คือศาลต้าหลี่ไม่ใช่หอสุราหรือร้านน้ำชา”

หลินหวั่นชิงอึกอัก กำลังจะพูดตอบ กลับได้ยินคนตรงข้ามพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ชาหลงจิ่งกาหนึ่ง ถ้วยชาสองใบ”

“ขอรับ” เด็กรับใช้พยักหน้าแล้วรีบร้อนเดินออกไป

หลินหวั่นชิงงงงันแล้ว “…”

“เจ้าคิดอย่างไรกับการตายของหวังหู่”

สำนวนความม้วนหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า หลินหวั่นชิงพลันรู้สึกตัว นางคลี่สำนวนความออกอย่างช้าๆ

หวังหู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าข่มขืนนั้นถูกต้อง แต่ได้วินิจฉัยความเกี่ยวข้องกับคดีเมื่อปีก่อนอย่างชัดเจนแล้ว สำนวนความนี้ก็เขียนขึ้นมาใหม่ ในนั้นยังได้ลงตราประทับของเสนาบดีศาลต้าหลี่ไว้ด้วย

“ใต้เท้า…” หลินหวั่นชิงตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมองซูโม่อี้ด้วยความประหลาดใจ จำได้ว่าก่อนหน้านี้ซูโม่อี้เคยพูดไว้ว่าไม่อยากยุ่งเรื่องนี้

กลิ่นชาหอมกรุ่น คนที่อยู่ตรงหน้ารินชาให้นางโดยไม่รีบร้อนพร้อมพูดช้าๆ “ตอนนี้ทั้งสองคดีนี้เป็นของศาลต้าหลี่แล้ว”

สองคดี? หมายความว่าเขาไม่เพียงจะรับช่วงต่อคดีของหวังหู่เท่านั้น แม้แต่คดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่องเขาก็รับช่วงต่อมาพร้อมกันด้วย…

มือที่ถือสำนวนความของหลินหวั่นชิงสั่นเทา นางได้ยินซูโม่อี้ถามขึ้นอีก

“เจ้าคิดว่าการตายของหวังหู่เป็นฝีมือของผู้ใด”

“แน่นอนว่าต้องเป็นฆาตกรตัวจริง”

“อ้อ?” ซูโม่อี้ยังคงมีท่าทีสงบ เขาผลักชาร้อนไปตรงหน้านาง

“ประมาณช่วงที่หวังหู่เข้าห้องขัง ฆาตกรตัวจริงก็คิดถึงขั้นตอนนี้แล้ว”

พอได้ยินดังนั้นสีหน้าของซูโม่อี้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ที่มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นอย่างยากที่จะสังเกต “แต่หากฆาตกรตัวจริงเป็นคนทำ เหตุใดจึงไม่ทำให้เป็นการฆ่าตัวตายเพราะกลัวถูกลงโทษเล่า”

หลินหวั่นชิงก้มหน้าลงจิบชาหนึ่งอึก ก่อนพูดอย่างไตร่ตรองแล้วว่า “เช่นนั้นก็คิดได้อีกว่าเหตุใดฆาตกรตัวจริงจึงไม่ฆ่าหวังหู่ตรงๆ ตั้งแต่แรกไปเสียเลย แต่กลับปล่อยให้เขามาที่ห้องขังนี้ ฆ่าคนข้างนอกง่ายกว่าการฆ่าคนในห้องขังมากกว่ามิใช่หรือ”

ซูโม่อี้ยังคงไม่พูดไม่จา เพียงเติมชาอย่างเงียบๆ

“ดังนั้นหวังหู่จึงเป็นตัวแปรที่ฆาตกรตัวจริงไม่ได้นึกถึงตั้งแต่แรก” หลินหวั่นชิงมองซูโม่อี้และพูดต่อว่า “เดิมทีคนที่ฆาตกรตัวจริงต้องการฆ่าคือจ้าวอี๋เหนียงผู้เดียวเท่านั้น เขาต้องการผลักคดีนี้ให้กับฆาตกรคดีฆ่าข่มขืน สำหรับคนที่โหดร้ายทารุณเช่นนั้น เหยื่อจะมากขึ้นหรือน้อยลงสักคนก็ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจัง ย่อมเป็นเป้าหมายในการโยนความผิดที่ดีที่สุด”

“แต่ตอนที่ท่านเจ้าเมืองไปถึงกลับพบกับหวังหู่ในที่เกิดเหตุ”

หลินหวั่นชิงพยักหน้า “ถูกต้อง จะต้องเป็นเช่นนั้น ดังนั้นเป็นเพราะเจ้าเมืองหลี่เข้าใจผิดเองคิดว่าหวังหู่เป็นฆาตกร จากนั้นเพราะอยากได้ลาภยศสรรเสริญจึงได้ใช้วิธีทรมานจนต้องยอมรับผิด ฆาตกรกลัวว่าเรื่องจะแดงออกมาจึงต้องการจะฆ่าคนปิดปาก”

ซูโม่อี้ไม่ปริปากพูดว่าถูกต้องหรือไม่ นิ้วชี้ที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนเคาะขอบถ้วยหยกขาว ตั้งใจสนทนาต่อ “ถ้าเช่นนั้นกลับมาที่ปัญหาแรก เหตุใดจึงไม่ทำให้เป็นการฆ่าตัวตายเพราะกลัวถูกลงโทษ”

หลินหวั่นชิงนิ่งเงียบไป ถูกต้อง หากต้องการฆ่าคนปิดปาก ฆาตกรตัวจริงย่อมไม่ทำเรื่องเช่นนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องการดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่าย ตามเหตุผลแล้วไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ เมื่อพิจารณาจากผู้ตายในที่เกิดเหตุแล้วเห็นได้ชัดว่าผู้ที่ลงมือได้ผ่านการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ ถ้าจะลอบเข้าไปในห้องขังอย่างลับๆ ก็ย่อมทำได้

ยามนี้ระหว่างคนทั้งสองล้วนตกอยู่ในภาวะชะงักงัน เหลือเพียงสายลมที่อบอุ่นและดอกไม้ที่ร่วงโปรยปรายที่ขยับเคลื่อนไหว

ซูโม่อี้ปัดปุยที่ติดบนเสื้อคลุมด้านหน้าออกแล้วพูดว่า “ยังไม่รีบเร่งตอนนี้ รอให้เจ้าคุ้นเคยกับศาลต้าหลี่แล้วทุกอย่างค่อยๆ ปรึกษากัน”

เมื่อพูดถึงศาลต้าหลี่ หลินหวั่นชิงก็เกิดความคิดอื่น นางยืนขึ้นตามซูโม่อี้ที่เลิกเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิงด้วยดวงตาแวววาว “ได้ยินมาว่าศาลต้าหลี่เก็บรักษาสำนวนความของคดีสำคัญๆ ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์มาทั้งหมดหรือขอรับ”

ซูโม่อี้ชะงักแล้วหันกลับมาถาม “แล้วอย่างไร”

หลินหวั่นชิงพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่เกรงใจ “ถ้าเช่นนั้นวันหยุดข้าขอไปดูได้หรือไม่”

“วันหยุด?” ท่าทางซูโม่อี้เหมือนจะไม่เข้าใจ “เจ้าไม่ใช่ขุนนางของศาลต้าหลี่ จะมีวันหยุดได้อย่างไร”

“…” หลินหวั่นชิงตะลึงงันไปชั่วครู่ นางอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นั่นหมายความว่าซูโม่อี้ให้นางมาที่ศาลต้าหลี่แต่ไม่ได้ตั้งใจจะมอบตำแหน่งแก่นาง? นี่คือศาลต้าหลี่ที่ควบคุมดูแลเรื่องการพิพากษาจริงๆ หรือ ไม่ใช่โรงงานใจดำข้างถนนหรอกหรือ

แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับพูดอย่างชอบธรรมและมีเหตุมีผลว่า “เจ้าเป็นคนที่ข้ามาเชิญเองก็ต้องติดตามข้า”

“ถ้าเช่นนั้น…” หลินหวั่นชิงควบคุมสีหน้าที่เกือบจะพังทลาย “ถ้าเช่นนั้นหากข้าต้องการจะค้นหาหนังสือหรือข้อมูลบางอย่างควรทำอย่างไร”

ใต้เท้าซูยังคงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คดีเดียวที่เจ้ารับผิดชอบมีเพียงคดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่องเท่านั้น หากต้องการหาข้อมูลก็ควรไปที่ที่ว่าการเมืองหลวง”

“…” หลินหวั่นชิงรู้สึกเหมือนได้รับบาดเจ็บภายใน แต่ยังคงถามอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าสติปัญญาโง่เขลา บางครั้งก็ต้องการประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนเพื่อให้แนวคิดขอรับ ดังนั้น…”

ไม่ได้รอให้หลินหวั่นชิงพูดจบก็ดูเหมือนซูโม่อี้จะหมดความอดทนเสียก่อน เขาจึงหันหลังกลับแล้วพูดว่า “เกิดมาโง่งมก็ใช้คดีฆ่าข่มขืนนี้เพื่อสร้างชื่อ ถึงอย่างไรศาลต้าหลี่ก็ไม่เลี้ยงคนที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว”

หลินหวั่นชิงพูดอันใดไม่ออก “…”

 

ศาลต้าหลี่ ยามไฮ่

ค่ำคืนอันมืดมิด ที่หน้าต่างเรือนด้านข้างมีแสงเทียนประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างส่องกระจายไปทั่วห้อง หลังจากฝนตกหนักในอากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหญ้าสดและดอกไม้ที่ร่วงโปรยปราย

หลินหวั่นชิงนวดคอที่ปวดร้าว เงยหน้าขึ้นจากกองสำนวนความบนโต๊ะ ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิที่เงียบสงัด เดิมทีก็ทำให้ง่วงง่ายอยู่แล้ว นางจึงอดหาวไม่ได้ จากนั้นหยิบแท่งไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วเขี่ยไปที่ไส้ตะเกียง

ซูโม่อี้ให้เวลานางเพียงเจ็ดวันเท่านั้น หากนางสามารถหาเบาะแสใหม่ได้ นางก็จะสามารถเข้าสู่ศาลต้าหลี่ได้อย่างเป็นทางการ และห้องสำนวนความนั้นนางก็สามารถเข้าไปได้แล้ว ดังนั้นสามวันมานี้นางจึงแทบจะอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืนเพื่อศึกษาใคร่ครวญอย่างหนัก

ถึงอย่างไรก็ไม่มีที่ไป หลินหวั่นชิงจึงย้ายทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาที่นี่

ด้วยเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ นางจึงยังไม่คุ้นชินกับทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะข้างกายยังขาดคนเอะอะโวยวาย ก่อนหน้านี้ตอนทำคดีอยู่ที่ที่ว่าการเมืองหลวง นางและเหลียงเว่ยผิงมักถกเถียงกันเป็นเวลาหลายคืน แม้นางจะได้รับชัยชนะเหนือกว่าในทุกๆ ด้านในทุกครั้ง แต่การแสดงความคิดเห็นร่วมกับผู้อื่นกับการครุุ่นคิดเพียงผู้เดียว นางรู้สึกว่ายังคงมีความแตกต่างอย่างมาก จึงถอนหายใจออกมา รู้สึกคิดถึงเหลียงเว่ยผิงขึ้นมาบ้างแล้ว

สายตาของหลินหวั่นชิงเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างตามความคิดที่ล่องลอย ดวงจันทร์ที่สว่างสดใสลอยอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ต้นเหมยในฤดูใบไม้ผลิในเรือนหลายต้นผลิใบแล้ว ปลายใบส่องประกายแสงสีเงินภายใต้แสงจันทร์

ในระหว่างที่แสงจันทร์เคลื่อนที่ ต้นไม้เตี้ยๆ ต้นหนึ่งก็โยกไปมาทั้งที่ไม่มีลมและฝน กลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคยจู่โจมเข้ามา ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด

หลินหวั่นชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางนึกถึงสีชาดในคืนที่หวังหู่ถูกสังหาร…พลันความหนาวยะเยือกบริเวณสันหลังปรากฏขึ้น นางกัดฟันโดยไม่รู้ตัว ในเวลาเดียวกันความไม่ยอมแพ้ภายในจิตใจก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ทั้งยังมีความรู้สึกลอบดีใจเล็กน้อย นางรีบหยิบลูกดอกแขนเสื้อ ออกมาทันทีแล้ววิ่งออกไปจากห้อง

เงาดำนั้นชะงักเล็กน้อย แตะปลายเท้าไปตามระเบียงของเรือน แล้วกระโดดเยื้องกรายออกจากกำแพงไป รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นจน…ไม่เหมือนบุรุษ

หลินหวั่นชิงตามติดออกไปจากเรือน ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืนเห็นเงานั้นวิ่งไปตามทางเดินที่คดเคี้ยว แล้วกระโดดลงไปในสระน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก แสงสะท้อนของน้ำใต้แสงจันทร์ เงาดำนั้นบินผ่านไปราวกับห่านป่าที่ตกใจกลัว ปลายเท้าทิ้งรอยบางๆ ไว้บนสระน้ำ เมื่อหันกลับมามองนาง นางยังรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนไหวของเงาดำดูเหมือนกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยนิ่มนวล

การร่ายรำชนิดนี้…

หลินหวั่นชิงใคร่ครวญไปพร้อมกับสืบค้นความทรงจำทั้งหมดที่มีอยู่ในสมอง ขณะที่กำลังใจลอยอยู่นั้นก็รู้สึกยิ่งห่างไกลจากเงาดำนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงพริบตาเดียวอีกฝ่ายก็หายเข้าไปในความมืดที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นอีกเลย

หลินหวั่นชิงหยุดวิ่ง นางเพิ่งพบว่าตนเองตามมาถึงบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ไม่มีดอกไม้ ไม่มีต้นไม้ แม้แต่บ้านสักหลังก็ไม่มี หากต้องการซ่อนตัวจะต้องไม่ใช่ที่นี่อย่างแน่นอน นางก้าวเท้าเบาๆ ไปตามความมืด หูกลับได้ยินเสียงน้ำดังซู่ๆ ที่ปลายทางเดิน ห้องหนังสือขนาดใหญ่ยังคงมีไฟส่องสว่าง ในยามค่ำคืนแสงริบหรี่นั้นประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง

จากระยะไกลที่ช่องหน้าต่างหลินหวั่นชิงเห็นภายในห้องมีไฟส่องสว่าง สะท้อนให้เห็นร่างเพรียวบางผ่านไปแวบหนึ่ง เขานั่นเอง! ในใจหลินหวั่นชิงรู้สึกประหลาดใจ จึงเดินอย่างรวดเร็ว ก้าวกระโดดไปที่ห้องที่มีไฟส่องสว่างในทันที

โครม!

หน้าต่างไม้แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นางกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง ในพริบตาที่ลงสู่พื้นนางรู้สึกเท้าลื่นเหมือนเหยียบโดนน้ำ ทันใดนั้นจุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคงจึงหงายหลังไปทันที

หลังจากเสียงอู้อี้ดังขึ้นเรื่องราวก็จบลงเช่นนี้ นางนอนอยู่บนพื้น เจ็บปวดไปทั้งตัว พยายามดิ้นรนอยู่เป็นเวลานานก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ ที่เหนือศีรษะสายตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมจ้องมาที่นาง…

คนในอ่างอาบน้ำเลิกคิ้วมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าทั้งหมด หนังสือที่อยู่ในมือสั่นเทา

“คราวนี้เจ้าคิดจะทำอะไรอีก”

น้ำเสียงเย็นชาของบุรุษทำให้บรรยากาศในห้องอาบน้ำที่อบอวลไปด้วยไอร้อนพลันหนาวเหน็บขึ้นมาอึดใจหนึ่ง

ไม่นะ…คนผู้นี้นอกจากสร้างระเบียงแล้วยังสร้างห้องอาบน้ำไว้หลังห้องหนังสือให้ตนเองอีกหรือ

หลินหวั่นชิงพูดไม่ออก นางอ้ำอึ้งเอ่ยว่า “ข้า…ดูเหมือนข้าจะเห็นผู้ที่ลอบสังหารหวังหู่…”

“อ้อ?” ซูโม่อี้วางหนังสือในมือลงอย่างสบายๆ เขาโน้มตัวไปหมอบกับขอบอ่างอาบน้ำ มองหน้านางแล้วถามต่อ “แล้วจับได้หรือไม่”

“ไม่ได้…แต่…ยังคงไล่ตามอยู่…” หลินหวั่นชิงพูดพร้อมกับค่อยๆ นอนเปลี่ยนทิศทางอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ แล้วยืนขึ้นอย่างตัวสั่นงันงก

“ใต้เท้า…ท่านค่อยๆ อาบ…ข้า…จะไปดูที่อื่นต่อ…” นางลุกขึ้นยืนแล้วเก็บลูกดอกแขนเสื้อ แม้แต่น้ำบนร่างกายก็ไม่ทันเช็ด ก้าวขาได้ก็วิ่งหนีทันที

แต่ขณะที่เงยหน้ากลับเห็นกระจกสำริดที่พิงอยู่บนฉากกั้น ในเงาสะท้อนรางๆ นั้น ด้านหลังของซูโม่อี้…

เงาดำนั่น!

นางหลับตาปี๋ ไม่มีเวลาคิดมาก หันหลังกลับแล้วดึงกลไกในมือไปทางเงาดำนั้นทันที!

ในเวลาเดียวกันเสียงน้ำไหลล้นออกมา หลินหวั่นชิงเห็นคลื่นน้ำจำนวนมากปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาอย่างน่าประหลาดใจ สะท้อนเป็นประกายแวววาวภายใต้แสงเทียนที่พลิ้วไหว ทว่าด้านหลังคลื่นนั้น…ส่วนโค้งเว้าของร่างกายที่แข็งแรงไร้ที่ติได้สัดส่วน ตลอดจนสิ่งที่เขามีแต่นางไม่มีนั้นสะท้อนลงบนน้ำและเปลวเทียนแล้วปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด! นางกลั้นหายใจทันที และลูกดอกแขนเสื้อก็พลาดเป้า ยิงเข้าที่กระจกสำริด

เปลวเทียนในห้องถูกดับลงด้วยน้ำที่ซูโม่อี้สาดออกไป ความมืดในพริบตานี้ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหลินหวั่นชิงอันตรธานไปทันใด

ในความมืดนี้นางมองไม่เห็นซูโม่อี้ และแน่นอนว่าย่อมไม่เห็นเงาดำนั้นด้วย จึงได้แต่ยืนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“อยู่ตรงนี้อย่าขยับ” เสียงบุรุษที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู ไอร้อนผสมกับกลิ่นหอมของไม้สนและหญ้าสดที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียวส่งกลิ่นหอมอยู่ที่ปลายจมูกนาง

หัวใจของหลินหวั่นชิงสั่นไหว รู้สึกว่าที่ใต้ฝ่าเท้าชามากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อสายลมพัดมาเบาๆ แสงสีขาวก็วาบผ่านเบื้องหน้า ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือผ้าไหมที่นุ่มนวล ซูโม่อี้รีบหยิบเสื้อคลุมตัวในสีขาวที่อยู่บนฉากกั้นอย่างรวดเร็วแล้วสวมทับร่างสะอาดของตนเอง

ขณะที่แสงจันทร์สาดส่องก็มีเสียงลมพัดใบไม้ดังก้องอยู่ที่ข้างหู คนผู้นั้นถืออาวุธ และมีเสียงของบางสิ่งบางอย่างแหวกอากาศดังวิ้วๆ คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังร่ายรำกระบี่อย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าใครสู้ใครไม่ไหว ภายในไม่กี่กระบวนท่าก็มีคนถูกโจมตีจนขาปัดเล็กน้อย ทำให้เคลื่อนไหวตามกระบวนท่าอย่างต่อเนื่องได้ยากแล้ว

“อ๊าก…” มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฉากกั้นในห้องแตกละเอียด ก่อนที่ภายในห้องจะเงียบงันไป

หลินหวั่นชิงต้องยืนอยู่กับที่เป็นเวลานาน อีกทั้งต้องอาศัยแสงจันทร์ช่วยการมองเห็นของนางจึงจะสามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้

เมื่อเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นเล็กน้อย ในเวลานี้กลับได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายถูกโจมตี แต่คิดว่าซูโม่อี้ซึ่งเป็นขุนนางบุ๋นทั้งในมือไม่มีอาวุธและไม่ได้สวมเสื้อผ้าน่าจะเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการต่อสู้

นางรู้สึกตกใจและไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น ได้แต่ฟาดฝ่ามือไปที่เงาดำที่ยืนอยู่ เงาดำมีการตอบสนองรวดเร็วมาก เอียงกายหลบอย่างคล่องแคล่วราวกับปลาที่ไหลลื่นตัวหนึ่ง

ในวัยเด็กหลินหวั่นชิงได้ฝึกวิชาเตะต่อยง่ายๆ กับบิดาผู้ให้กำเนิดมาเล็กน้อย และตอนนี้ก็อาศัยความกล้าหาญซัดกระบวนท่าใส่เงาดำนั้นอีกครั้ง ครานี้นางโจมตีไปที่แขนของเงาดำ คนผู้นั้นก็ยกมือโบกหนึ่งครั้ง พลิกมือมัดนางไว้ แล้วถือโอกาสบิดตัวจนตัวของนางตกลงไปอยู่ใต้ร่างเขา แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้คิดที่จะปล่อยตัวนาง กลับจับตัวนางไว้และตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

หลินหวั่นชิงฉวยโอกาสเตะไปที่หว่างขาเขาอย่างแรง! เขาตกใจทันที โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกระโดดหลบ ก่อนสะบัดตัวนางขึ้นไปในอากาศเหมือนหิ้วตุ๊กตาผ้า แล้วทิ้งลงตรงหน้าอีกครั้ง

แต่ครานี้เป็นเพราะพื้นลื่นเกินไป คนผู้นั้นยืนไม่มั่นคง จึงเสียหลักกำลังจะล้มลงไป เขากอดหลินหวั่นชิงไว้กับอก ขาทั้งสองข้างหนีบตัวนางไว้ จากนั้นก็ออกแรงที่กลางลำตัว กอดนางแล้วล้มลงไปด้วยกัน

ช่างเป็นมือสังหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจริงๆ!

หลินหวั่นชิงรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา และตอนนี้ต้องการเพียงปลีกตัวออกไปให้เร็วที่สุด นางฉวยโอกาสตอนที่มือสังหารหนีบตัวนางไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ชกเข้าไปที่เอวของเขา ทว่าถึงอย่างไรนางก็สู้เขาไม่ได้ ขณะที่หมัดนั้นสัมผัสที่ท้องน้อยของเขาก็ถูกเขาปัดออกด้วยฝ่ามือราวกับปัดฝุ่นดินกระนั้น

มือของหลินหวั่นชิงอ่อนแรงลง หมัดไม่เป็นหมัด กลายเป็นฝ่ามือที่อ่อนล้ายิ่ง จุดที่ตกลงยังต่ำกว่าจุดเดิมหลายนิ้ว

หลินหวั่นชิงอึ้งงัน “…”

คนทั้งคู่ตัวแข็งทื่อ ศีรษะของหลินหวั่นชิงอยู่บนหน้าอกของเขา จึงได้รู้ว่ารูปร่างของคนผู้นี้สูงใหญ่กว่าตนเองมาก และแน่นอนว่าย่อมสูงกว่าเงาดำที่เห็นเมื่อครู่มากนัก

มิหนำซ้ำสิ่งนั้นที่อยู่ในมือนางนั้น…ไม่ใช่สิ่งที่เขามีแต่นางไม่มีที่ได้เห็นเมื่อครู่หรือ

แต่ว่า…นางกลืนน้ำลาย เช่นนี้สมเหตุสมผลจริงหรือ ทั้งเนื้อทั้งตัวซูโม่อี้ดูแล้วมีเนื้ออยู่ไม่เท่าไร เหตุใดเจ้าสิ่งนั้นจึงใหญ่ถึงเพียงนี้! รูม่านตาของหลินหวั่นชิงสั่นไหวอย่างแรงจนลืมที่จะเอามือออกไปชั่วขณะ

“ใต้เท้า!”

มีเสียงฝีเท้าเร็วๆ ดังขึ้นที่ข้างหู และภายในห้องที่มืดสนิทก็สว่างไสวในพริบตา

เยี่ยชิงนำขุนนางกลุ่มหนึ่งมาทันเวลาพอดี เมื่อเห็นซูโม่อี้ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า อีกทั้งยังกำลังกอดหลินหวั่นชิงซึ่งตัวเปียกโชกไปทั้งตัวนอนอยู่ข้างอ่างอาบน้ำที่…ระเกะระกะ รวมทั้งมือของหลินหวั่นชิง…ยังวางไว้ที่จุดจุดหนึ่ง…

เยี่ยชิงรู้สึกราวกับโลกได้พังทลายลงแล้วกระนั้น

ใต้เท้าใจเย็นและควบคุมอารมณ์ตนเองอยู่เสมอ ทั้งยังไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น ยกเว้นกับเจ้าหน้าที่หลินผู้นี้ ทั้งสะกดรอยตาม ส่งยา บรรจุตำแหน่งให้เขาคอยอยู่ข้างกายตนเอง ประกอบกับซื่อจื่ออายุเกินยี่สิบปีแล้วยังไม่ได้แต่งงาน…

ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ

“มี…มือสังหาร…” หลินหวั่นชิงพยายามอธิบายด้วยตัวแข็งทื่อ…ลิ้นพันกัน

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ดูเหมือนจะฟังไม่เข้าใจ พวกเขายังคงตกตะลึง

เยี่ยชิงหันหลังกลับทันที พยายามบังซูโม่อี้และหลินหวั่นชิงเอาไว้แล้วสั่งการอย่างเคร่งขรึม “รีบไปหามือสังหารเดี๋ยวนี้! อย่ามัวแต่ยืนตะลึงอยู่!”

ทุกคนจึงเข้าใจความหมายของเขา ต่างแยกย้ายกันไปอย่างรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร พร้อมใจกันเดินออกไปโดยแกล้งทำเป็นมองหามือสังหาร

“เฮ้อ…” เยี่ยชิงถอนหายใจด้วยความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก แล้วส่งสายตาให้ซูโม่อี้พลางเอ่ย “แม้ข้าจะตกใจ แต่ข้าก็ยังคงเลือกที่จะเข้าใจ”

จากนั้นเขาก็เดินจากไปอย่างหนักใจ สุดท้ายยังคงไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องอาบน้ำให้ด้วย

“ยังไม่ลุกขึ้นอีก?”

“ลุกขึ้น!” ฝ่ามือของหลินหวั่นชิงร้อนผ่าว จึงรีบดึงมือกลับ

ซูโม่อี้ลุกขึ้นช้าๆ จัดการเสื้อคลุมด้วยท่าทางสงบเป็นธรรมชาติ แล้วจึงพูดกับหลินหวั่นชิง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาคือฆาตกรที่ฆ่าหวังหู่”

ในเวลานี้แววตาและความคิดของหลินหวั่นชิงยังคงหยุดอยู่ที่ตัวของซูโม่อี้ นางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ซูโม่อี้ถูกหลินหวั่นชิงมองจนรู้สึกหนาวสั่น เขาสวมเพียงเสื้อคลุมนอนสีขาวที่ไม่หนา และเวลานี้ยังเปียกน้ำอีกด้วย เสื้อคลุมตัวนั้นเปียกชื้นและบางแนบกาย ส่วนเว้าของกล้ามเนื้อหน้าอก กล้ามเนื้อหน้าท้องและแขนไม่สามารถปกปิดได้เลย

“แค่กๆ” ซูโม่อี้ไอแห้งๆ สองครั้งพร้อมใช้หมัดบังริมฝีปาก แล้วเอียงกายไปหยิบเสื้อคลุมที่หนาขึ้นอีกหน่อยมาอีกตัว

หลินหวั่นชิงพบความไม่เป็นธรรมชาติของซูโม่อี้ และยังสังเกตเห็นกิริยาเสียมารยาทของตนเองอีกด้วย บุรุษด้วยกันไม่มีอะไรให้ต้องจ้องมองอย่างตกใจจนเกินเหตุ นางจึงกระแอมแล้วแสร้งทำเป็นพูดอย่างสงบ “ข้าเคยพบเขาครั้งหนึ่งที่นอกห้องขังของที่ว่าการเมืองหลวง”

“เจ้าเคยเห็นเขา?” ซูโม่อี้เอ่ยถาม

หลินหวั่นชิงส่ายหน้า “ข้าเคยได้กลิ่น”

ซูโม่อี้ตะลึงงัน รอหลินหวั่นชิงอธิบาย

“กลิ่นกายของมือสังหารนั้นพิเศษมาก ข้าสามารถจดจำกลิ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้น…” หลินหวั่นชิงกล่าวเสริม “เมื่อครู่ข้าสะกดรอยตามเขามาตลอดทาง พบว่าวิชาตัวเบาของเขาค่อนข้างคุ้นเคย แต่ข้าก็ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้”

“อืม” ซูโม่อี้รับคำอย่างสบายๆ ก่อนจะซักถามต่อ “เจ้ายังมีอะไรต้องการเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของหวังหู่หรือไม่”

หลินหวั่นชิงขาดทุนมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงฉลาดขึ้น นางถามว่า “หากต้องดูแลอีกคดีหนึ่ง ใต้เท้าจะมีรางวัลให้หรือไม่” พูดจบก็ส่งสายตารอคอยคำตอบให้ซูโม่อี้

“คดีฆ่าข่มขืนเป็นของเจ้า คดีของหวังหู่เป็นของข้า ไม่มีรางวัล”

หลินหวั่นชิงพูดไม่ออก “…” คนผู้นี้เหตุใดกระทำการไร้ยางอายแล้วยังพูดได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว…” หลินหวั่นชิงเบะปาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้เบาะแสของสาวใช้ขาเป๋ผู้นั้นนางคงต้องเก็บรักษาไว้ วันใดอารมณ์ดีค่อยพูด

ซูโม่อี้เห็นท่าทางของนางเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดความคิดชวนขบขันขึ้น จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้า ให้เบาะแสเกี่ยวกับคดีฆ่าข่มขืนเจ้าเรื่องหนึ่ง”

หลินหวั่นชิงชะงักไป

หรือว่าคดีฆ่าข่มขืนไม่ได้เป็นคดีของศาลต้าหลี่ เหตุใดจึงบอกว่าเห็นแก่หน้าข้า ขุนนางอำมหิตผู้นี้ช่าง…

ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ แต่สัญชาตญาณกลับผลักดันให้นางรีบพยักหน้า

“ตามการวิเคราะห์ของเจ้า จากท่าทีและนิสัยของฆาตกรมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ก่อคดีจะเป็นคนคุ้นเคย เหยื่อทั้งสามคนมีสิ่งที่เหมือนกันประการหนึ่งก็คือก่อนที่จะมาเป็นภรรยาลับหรืออี๋เหนียงของขุนนางชั้นสูงที่มีชื่อเสียงล้วนเคยเป็นหญิงคณิกาที่โดดเด่นของหอคณิกามาก่อน” นิ้วเรียวยาวของเขารัดเสื้อคลุมตัวหลวมเสร็จแล้วพูดอย่างสบายๆ “พรุ่งนี้ตามข้าไปดูด้วยกัน”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 เม.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: