“ผมอยู่ตัวคนเดียวมานาน บางครั้งพอมีใครสักคนเข้ามาก็เลยทำอะไรไม่ค่อยถูก”
สวีเจ้าอิ่งปรายตามองเฉิงจยาโหย่วแวบหนึ่ง แต่หัวใจกลับเต้นตุบๆ ถึงเธอจะเคยพบกับเฉิงจยาโหย่วแค่ครั้งเดียว แต่พอจะรู้ว่าเขาเป็นคนรู้จักกาลเทศะ การที่จู่ๆ ชายหนุ่มพูดแบบนี้ขึ้นมาก็ทำให้คนฟังรู้สึกกระสับกระส่ายไม่น้อย
เฉิงจยาโหย่วหันมองสวีเจ้าอิ่งแวบหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ “ขอบคุณที่คุณพาพีพีมาอยู่กับผม ผมคิดว่าต่อไปตัวเองคงไม่ต่อต้านการกลับบ้านอีก”
สวีเจ้าอิ่งระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะหยอกล้อ “ฉันนึกว่ามีแต่ฉันที่ตัวคนเดียว คนมีเสน่ห์แบบคุณจะเป็นเหมือนฉันได้ยังไง”
“ที่จริงเราก็เป็นคนแบบเดียวกันนั่นแหละครับ คือเป็นพวกระวังตัวสูง ไม่ยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆ คุณใช้ความเมินเฉยเย็นชามาเป็นเครื่องปกป้องตัวเอง ส่วนผมถึงจะดูเป็นมิตร แต่จริงๆ แล้วก็มีเรื่องเก็บซ่อนไว้ในใจ”
สวีเจ้าอิ่งหัวเราะเบาๆ “คนเราก็แบบนี้แหละค่ะ พวกเราเองก็ถึงวัยที่จำเป็นต้องวางมาดกันบ้างแล้ว แต่แบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ฉันกลับรู้สึกว่ามันยิ่งเป็นความจริงมากกว่า ดังนั้นแค่ได้มีเพื่อนที่รู้ใจสักคนสองคนอยู่บนโลกด้วยกันก็เพียงพอแล้ว”
เฉิงจยาโหย่วยืนยันจะไปส่งสวีเจ้าอิ่งให้ถึงใต้คอนโดฯ แต่สวีเจ้าอิ่งคิดว่าพวกเขายังไม่สนิทกันถึงขั้นนั้นจึงบอกปัดไปอย่างนุ่มนวล เธอมองรถเก๋งแล่นจากไปแล้วจึงเข้าไปในคอนโดฯ
วันนี้ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวๆ หญิงสาวใช้มือทั้งสองข้างตบแก้มซึ่งช่วยเรียกสติได้เล็กน้อย วันนี้เธอคุยกับเฉิงจยาโหย่วเยอะมาก แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงคุยกันด้วยเรื่องพวกนี้ ความรู้สึกของเธอบอกว่าการคบหาผู้ชายดีๆ แบบเขานั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย สวีเจ้าอิ่งไม่เพียงไม่รังเกียจ แต่ยังยินดีนิดๆ ด้วยซ้ำ
“คุณครับ! คอยเดี๋ยว!”
สวีเจ้าอิ่งเพิ่งเปิดประตูตึกก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกอยู่ไม่ไกล ในรัศมีสองสามเมตรนี้ไม่มีคน แต่กลับมีเสียงเรียกเธอเอาไว้ หญิงสาวมองตามต้นเสียงไปจึงเห็นผู้ชายสวมหมวกกับดาวน์แจ็กเก็ตตัวหนาวิ่งพรวดพราดเข้ามา
“ขอบคุณครับคุณผู้หญิง!”
สวีเจ้าอิ่งเปิดประตูค้าง ตามองคนที่วิ่งถลันเข้ามาแล้วหอบหนัก พอเขาถอดหมวกออกมา สวีเจ้าอิ่งก็เผลอมองค้อนไปหนึ่งครั้งเพราะคนคนนั้นคือฉู่จิงหง
ใบหน้าของฉู่จิงหงโดนความเย็นจนกลายเป็นสีแดง เขาสวมดาวน์แจ็กเก็ตแบบนี้ยิ่งทำให้ดูตัวพองใหญ่โต คอยจนฉู่จิงหงปรับลมหายใจได้แล้วเขาถึงพบว่าคนตรงหน้าคือคู่แค้นของตัวเอง
ชายหนุ่มร้องลั่น “โอ้! บังเอิญจัง”
สวีเจ้าอิ่งกดเรียกลิฟต์พลางเอ่ยถามขึ้นตามมารยาท “คุณกลับมาแล้วเหรอ”
“กลับมาแล้ว”
สวีเจ้าอิ่งเดินเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะกดปุ่มชั้นสิบกับชั้นสิบห้า จากนั้นฉู่จิงหงก็ตามเข้ามา ไฟสองดวงในลิฟต์เสีย ไฟที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับทำให้บรรยากาศภายในที่ปิดทึบเช่นนี้ยิ่งทวีความอึดอัด
ฉู่จิงหงยืนอยู่หลังสวีเจ้าอิ่ง หญิงสาวจึงได้ยินเสียงหอบหนักกับเสียงไอเบาๆ ของเขา จากนั้นไม่นานลิฟต์ก็มาถึงจุดหมาย สวีเจ้าอิ่งเดินออกไป
ฉู่จิงหงกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ ทว่าวินาทีที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงมันกลับถูกงัดเปิดออกอีกครั้ง สวีเจ้าอิ่งยืนอยู่นอกประตู ดวงตามองตรงไปที่ฉู่จิงหง “ภายในสามวันนี้ไปที่โรงพยาบาลสัตว์ด้วยนะ”
ฉู่จิงหงชะงัก ผงกศีรษะรับโดยอัตโนมัติ จากนั้นประตูลิฟต์จึงปิดลงอีกครั้ง ฉู่จิงหงโคลงศีรษะเพื่อไล่ความรู้สึกชาวาบที่ท้ายทอยให้หายไป ออร่าของผู้หญิงคนนี้แปลกมาก เธอสามารถทำให้เขารู้สึกกดดันได้แบบแปลกๆ และความกดดันนี้ก็โอบล้อมรอบตัวเขาเหมือนถูกไฟช็อต
พีพีนำพาความเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตของเฉิงจยาโหย่วจริงๆ มันทำให้เฉิงจยาโหย่วที่ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตแบบสูตรสำเร็จ จากที่คอยแต่จะประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาตลอด ตอนนี้กลับเริ่มมีภาพถ่ายของพีพีหลายรูปปรากฏอยู่ในไทม์ไลน์วีแชตของเขา เป็นภาพความน่ารักของมันตอนนอนผึ่งพุงอยู่กลางแดดบ้าง ตอนไล่จับผีเสื้อกลางทุ่งดอกไม้บ้าง เมิ่งเทียนเทียนกดไลค์ภาพเหล่านั้นแล้ว สวีเจ้าอิ่งก็กดด้วยเช่นกัน
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้สวีเจ้าอิ่งไม่ได้คอยเก้อเพราะฉู่จิงหงมาจริง แต่การมาของเขาครั้งนี้กลับเอาความปวดหัวและเรื่องวุ่นวายมาให้เธอด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 มี.ค. 64