“ดูเหมือนห้องนั้นจะชื่อ…อี้ฉิง”
สวีเจ้าอิ่งนึกชื่อห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวของเธอพลางกวาดตามองหา “อ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเจอแล้ว”
สวีเจ้าอิ่งเดินตรงไปข้างหน้า บริกรก็รีบตามเธอไป “คุณผู้หญิงครับ ไม่ใช่ห้องนั้น” ถ้าไม่ใช่เพราะมีบริกรขวางอยู่เกรงว่าสวีเจ้าอิ่งคงพุ่งตัวเข้าไปแล้ว
“ห้องนี้ไม่เปิดให้บริการเพราะมีสถานีโทรทัศน์มาถ่ายทำรายการอาหารอยู่ข้างใน ห้องที่คุณว่าน่าจะเป็นห้องฝั่งตะวันตก ผมจะพาไปเองครับ”
สวีเจ้าอิ่งยื่นหน้าเข้าไปมองพบว่าด้านในกำลังถ่ายทำรายการอยู่จริง มีกล้องตัวหนึ่งกำลังถ่ายพิธีกรซึ่งแต่งกายสะสวยกับแขกรับเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ ทันใดนั้นหญิงสาวพลันตัวสั่นขึ้นมา เพราะคนที่นั่งยิ้มอย่างเขินๆ อยู่ข้างพิธีกรหญิงคนนั้นคือนายหน้าหนวดกล้ามโต
สวีเจ้าอิ่งเอียงหน้าหันไปกระซิบถามบริกร “คนที่หน้าเพิ่งโกนหนวดเขียวๆ ท่าทางยิ้มเหมือนไม่ยิ้มคนนั้นเป็นใครเหรอ”
บริกรมองตามสายตาของสวีเจ้าอิ่งไปแล้วยิ้มออกมาแบบเก้อๆ “คนนั้น…เจ้าของร้านของเราเองครับ”
เหมือนมีฟ้าผ่าในสมองถึงสองเปรี้ยง สวีเจ้าอิ่งขยี้ตา หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ หึ! นายคนที่นั่งอยู่นั่นทำตัวเหมือนหมาขนาดนั้นแล้วยังจะถามหาความเป็นคนจากเขาอีกได้ยังไง
“คุณไปทำงานเถอะ ไม่ต้องสนใจฉันหรอก ฉันไม่เคยเห็นการถ่ายทำรายการทีวีแบบนี้ จะขออยู่ดูสักครู่”
สวีเจ้าอิ่งไล่บริกรด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นัก เพราะอันที่จริงแล้วเธอเป็นขาประจำของรายการโทรทัศน์ แต่ดันพูดโกหกแบบนี้ออกมาซะได้
“งั้นช่วยรักษาความสงบด้วยนะครับ”
สวีเจ้าอิ่งทำมือเป็นสัญญาณ ‘จุ๊ๆ’ ก่อนกระซิบตอบ “รู้แล้ว”
หญิงสาวเอนตัวทาบกับประตูพร้อมยื่นหน้าเข้าไปมองข้างในห้อง ฉู่จิงหงในวันนี้ดูนิ่งมาก เขาพูดคุยกับพวกแขกรับเชิญที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารอย่างอารมณ์ดี ดูจากท่าทางของชายหนุ่มคาดว่ารายการน่าจะดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว
พิธีกรหญิงยิ้มพร้อมพูดกับกล้องว่า “แม้ว่าคุณฉู่ที่มาจากทุ่งหญ้าจะเป็นชาวฮั่นเชื้อสายมองโกเลีย แต่จากการสัมภาษณ์ในวันนี้แล้วทุกท่านคงจะเห็นได้ว่าคุณฉู่เป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและมีน้ำใจมากคนหนึ่ง เพราะคุณฉู่บริจาคเงินถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้ให้เป็นสาธารณกุศลเลยค่ะ”
สวีเจ้าอิ่งทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในใจ เพราะถ้าคนแบบนี้เรียกว่ามีน้ำใจก็ดูจะเป็นการเสแสร้งเพื่อสร้างกระแสมากกว่า
พิธีกรหญิงหันกลับไปถามฉู่จิงหง “คุณพอจะเล่าเรื่องความตั้งใจที่จะทำเพื่อสังคมให้เราฟังหน่อยได้หรือเปล่าคะ”
ไม่รู้ว่าสวีเจ้าอิ่งตาฝาดไปเองหรือเปล่า เธอถึงเห็นใบหน้าของฉู่จิงหงแดงระเรื่อ เขาตอบด้วยน้ำเสียงถ่อมตัว “ผมไม่กล้าบอกว่าตัวเองทำธุรกิจเพื่อสังคมหรอกครับ แค่อยากจะตอบแทนสังคมเท่าที่ทำได้ก็เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ‘บ้านฟาร์ม’ ของเราได้ทำโครงการมื้อเช้าฟรีให้แก่เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาด และนำรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือบ้านพักคนชรา กับอีกส่วนได้นำไปช่วยเหลือองค์กรคุ้มครองสัตว์ของเซี่ยงไฮ้ครับ”
ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่สวีเจ้าอิ่งดื่มเมื่อกี้พุ่งพรวดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ของฉู่จิงหง คนแบบเขาเนี่ยนะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือองค์กรคุ้มครองสัตว์ คิดแล้วมันน่าหัวเราะ สวีเจ้าอิ่งเคยเจอคนที่สร้างภาพตัวเองต่อหน้าสื่อมามาก มีทั้งพวกที่ใช้ลูกไม้ตื้นๆ หรือทั้งแบบยกยอปอปั้นตัวเองเว่อร์วัง เธอก็เคยเจอมาหมดแล้ว