เห็นข้อความแบบนี้แล้วเธอจะยังหลับลงได้อีกเหรอ หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียง ลูบผมยุ่งๆ ถ่วงเวลาอยู่สิบกว่านาทีจนรู้สึกว่าอารมณ์นิ่งพอแล้วถึงค่อยสวมเสื้อโค้ตลงไปที่ชั้นล่าง
เฉิงจยาโหย่วนั่งคอยเธออยู่ในรถเงียบๆ สวีเจ้าอิ่งเคาะหน้าต่างทำให้เฉิงจยาโหย่วได้สติ เขาเปิดประตูรถให้เธอ
สวีเจ้าอิ่งก้าวขึ้นไปบนรถ “คุณมีธุระอะไร”
เฉิงจยาโหย่วมองเธอยิ้มๆ “ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”
“เปล่า ไม่โกรธแล้ว”
“กินข้าวหรือยังครับ ผมขอพาคุณไปหาอะไรกินนะ”
เขาไม่ยอมให้เธอได้ปฏิเสธก็ขับรถออกไปทันที สวีเจ้าอิ่งมองประตูคอนโดฯ ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วรีบเปิดประตูรถ ประตูอ้ากว้างไปเกินครึ่ง ทำให้เฉิงจยาโหย่วต้องรีบหยุดรถ
“คุณนี่ขี้โมโหจริงๆ นะ”
“ฉันก็นิสัยไม่ดีแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็น เฉิงจยาโหย่ว…ถึงฉันยอมไปไหนมาไหนกับคุณ แต่ฉันรู้จักคุณน้อยมาก การที่คุณมาขอให้ฉันช่วยงานวันนี้อย่างน้อยๆ มันก็แสดงว่าคุณยังเห็นฉันเป็นเพื่อน แต่คุณกลับปิดบังเรื่องแต่งงาน แล้วยังทำให้ฉันถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภรรยาของคุณอีก แบบนี้มันเหมาะมันสมควรแล้วเหรอ…คุณให้เกียรติฉันบ้างหรือเปล่า”
หลายปีที่ผ่านมาสวีเจ้าอิ่งยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองมาตลอดจึงไม่หวาดกลัวสิ่งใด และไม่มีอาการเหนียมอายต่อเพศตรงข้ามเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ เฉิงจยาโหย่วฟังสิ่งที่เธอพูดแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะกดปิดเพลงที่เปิดอยู่ในรถแล้วเอื้อมแขนมาปิดประตูรถฝั่งของสวีเจ้าอิ่ง
“การเดินออกจากชีวิตแต่งงานแล้วกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง มันไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่คนจินตนาการกัน ผมยังต้องตามเก็บกวาดสิ่งที่เหลืออยู่บนสนามรบ ที่นั่นมีทั้งความขัดแย้ง ความผิดหวัง และความเหนื่อยล้าอ่อนแรง แต่พอผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเตรียมตัวออกเดินทางใหม่อีกครั้ง ก็พบว่าความคิดของผู้คนมันไม่ได้เปลี่ยนไปตามสถานภาพของผม จะให้ไล่อธิบายไปทีละคนก็ไม่ไหว ผมเลยคิดแผนนี้ขึ้นมา แต่เพราะกลัวว่าคุณจะไม่ยอมมาก็เลยไม่ได้อธิบายดีๆ อีกอย่างคือกังวลว่าถ้าบอกไปผลลัพธ์มันจะเหลือแค่อย่างเดียว”
แม้สิ่งที่เฉิงจยาโหย่วพูดมาจะเป็นเหตุเป็นผล สมแล้วที่เป็นผู้จัดการด้านการเงินที่คารมคมคายไม่เป็นสองรองใคร แต่สวีเจ้าอิ่งฟังแล้วก็ยังรู้สึกหงุดหงิด
“อาจจะจริงอย่างที่คุณพูด…ที่ว่าใครต่อใครก็รู้ว่าคุณแต่งงานแล้ว จะให้ตามเก็บกวาดเอาตอนนี้ก็ลำบากเลยต้องผลักฉันออกไปรับหน้า เพราะคงคิดมาแล้วว่าทำผิดกับคนคนเดียวยังไงก็ดีกว่าผิดกับคนทั้งฝูง”
เฉิงจยาโหย่วชะงักก่อนจะหลุดขำพรืดออกมา “คุณนี่ปากร้ายเหมือนกันนะ” แต่พอเห็นว่าสวีเจ้าอิ่งไม่ขำก็ต้องหุบยิ้ม “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำผิดต่อใคร…ผมแค่อยากได้ใครสักคนที่เข้าใจผม”
ฟังเขาพูดแบบนั้นแล้วหัวใจของสวีเจ้าอิ่งบีบรัดแน่น แต่เธอรีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมองทันที “ฉันกับคุณรู้จักกันแค่ผิวเผิน ฉันจะไปเข้าใจคุณได้ยังไง”
“เจ้าอิ่ง…นอกจากเรื่องแต่งงานที่ผมปิดบังคุณแล้ว ผมก็จริงใจกับคุณทุกอย่าง พอเจอคนที่ใช่ ที่ทำให้ชีวิตของคุณกลับมาสดใส นึกอยากจะมอบของขวัญให้แต่ก็ตื่นเต้น กลัวคุณไม่ยอมรับเหมือนเด็กๆ ถึงผมจะเคยผ่านการแต่งงาน แต่ผมไม่เคยทำอะไรชุ่ยๆ กับคนหรือเรื่องที่ผมสนใจนะ”
สวีเจ้าอิ่งเงียบไปนาน เฉิงจยาโหย่วสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอผ่อนคลายลงเยอะแล้วก็ยิ้มก่อนจะบอกว่า “พูดกันตามตรง วันนี้ผมทำตัวไม่ดีเท่าไหร่ จะขอไถ่โทษด้วยการเลี้ยงอาหารหรูๆ คุณสักมื้อนะครับ” พูดจบเฉิงจยาโหย่วก็หยิบกล่องของขวัญแสนสวยใบหนึ่งออกมายื่นให้สวีเจ้าอิ่ง หญิงสาวมองเขาด้วยสายตางงงัน แต่เขากลับไม่ยอมหลบสายตามองไปทางอื่น “อันนี้ก็เป็นของไถ่โทษด้วยครับ”