บทที่ 3 ครั้งเดียวก็เกินพอ
ไม่ผิดจากที่คิด…ผู้ชายสายแฟชั่นคนที่ทาตัวด้วยน้ำมันและอวดความแข็งแกร่งเหมือนวัวคนนี้ก็คือฉู่จิงหง สิ่งที่เห็นทำให้สวีเจ้าอิ่งซึ่งเพิ่งพูดเล่นไปต้องรีบหุบปากฉับ เพราะต่อให้รูปร่างของฉู่จิงหงจะดีจริง แต่เธอก็ยังคงชมเขาไม่ลง
แต่เมิ่งเทียนเทียนกลับไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกตินั้น เธอมองไปที่หน้าฉาก “นั่นมันแหงอยู่แล้ว ไม่เก่งจริงจะมาขึ้นปกนิตยสารของฉันได้ไง หนุ่มมองโกเลียในมีเสน่ห์และมีอารมณ์ขัน เมื่อกี้ตอนมาถึงก็ไปหัวเราะคิกคักกับพวกสาวๆ ของที่นี่ โปรยเสน่ห์จนพวกสาวๆ หลงกันไปหมดแล้ว”
เมิ่งเทียนเทียนพูดเองเออเอง พอเห็นว่าสวีเจ้าอิ่งไม่พูดอะไรตอบกลับมาเลยหันมามอง จึงเห็นสวีเจ้าอิ่งกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือ
“เธอ! พูดอะไรบ้างสิ ปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวเหมือนคนบ้าอยู่ตั้งนานสองนาน”
สวีเจ้าอิ่งจึงวางโทรศัพท์มือถือลง กระแอมเบาๆ สองครั้ง แล้วลดเสียงพูดให้เบาลง “ครั้งก่อนเธอได้อ่านเอกสารสละสิทธิ์การเลี้ยงดูพีพีแล้วหรือยัง”
“ยังอ่ะ เอกสารของสมาคมคุ้มครองสัตว์เลี้ยงมีเป็นภูเขา ฉันจะไปอ่านทุกฉบับได้ยังไง ทำไมเหรอ เอกสารมีปัญหาอะไร”
สวีเจ้าอิ่งพยักพเยิดให้เมิ่งเทียนเทียนมองตาม เมิ่งเทียนเทียนหันไปมองฉู่จิงหงแล้วทำตาโต ก่อนจะหันมากระซิบกับสวีเจ้าอิ่งทีละคำ “หรือว่า…เขาคือ…คน…ทิ้ง…หมา?!”
เธอไม่พูดอะไร ทำเพียงยกถ้วยชาในมือขึ้นดื่ม เมิ่งเทียนเทียนทำเสียงจิ๊จ๊ะคล้ายไม่พอใจ “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ ที่แท้ก็ไว้ใจผู้ชายมากไม่ได้ แอ๊บเก่งกันเหลือเกินนะ เธอดูสิ เขาหน้าตาสดใส นิสัยเปิดเผย โหงวเฮ้งเป็นคนดีมีน้ำใจ เก่งจริง! เก่งจัง! ฉันไม่มีทางเอาคนแบบนี้มาขึ้นปกนิตยสารเด็ดขาด”
ไม่มีคนทำงานอยู่ตรงนั้นคนไหนสังเกตเห็นการกระซิบกระซาบของสองสาว ตากล้องยังคงทำงานตามปกติ แต่สีหน้าท่าทางของเมิ่งเทียนเทียนกลับเริ่มแสดงอาการรำคาญใจ
“เฉิงจยาโหย่วน่าจะรู้เรื่องนี้แล้วใช่ไหม”
สวีเจ้าอิ่งผงกศีรษะ “ใช่ ฉู่จิงหงเคยเอาพีพีไปเลี้ยงสองวัน แต่ไม่โอเค”
เมิ่งเทียนเทียนทำเสียงจิ๊จ๊ะอีก “มิน่า คนเขาถึงพูดกันว่าผู้ชายทำงานใหญ่ได้ดีกว่า ตลอดบ่ายวันนี้เฉิงจยาโหย่วไม่ยอมเล่า ‘เรื่องบัดซบ’ พวกนั้นให้ฉันฟังเลย แถมยังมาช่วยงานตั้งนาน ถ้าเป็นฉันคงได้ฉีกหน้าเขาไปตั้งแต่ต้นแล้ว”
“เธออย่าแสดงออกเยอะสิ หมอนั่นอยู่คอนโดฯ เดียวกับฉันนะ ฉันกลัวเขาจะตามมาคิดบัญชี”
เมิ่งเทียนเทียนขำพรืด “สวีเจ้าอิ่งจ๋า สวีเจ้าอิ่ง เธอก็กลัวเป็นด้วยเหรอ”
สวีเจ้าอิ่งมองค้อนเพื่อนสนิทแต่ไม่โต้ตอบ คนแบบเธอหรือจะกลัวเขา เธอก็แค่หวาดผวากับการตามตื๊อแบบเอาเป็นเอาตายของฉู่จิงหงต่างหากเล่า
ด้วยการเร่งงานของเมิ่งเทียนเทียนทำให้ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็เก็บงานทั้งหมดได้ ฉู่จิงหงเดินมาหาเฉิงจยาโหย่วเพื่อดูภาพถ่ายของตัวเองด้วยรอยยิ้ม เมิ่งเทียนเทียนจึงเดินเข้าไปตบไหล่เฉิงจยาโหย่วเบาๆ “รีบเข้าๆ หิวจนปวดท้องแล้วเนี่ย”
“เอ๊ะ! นั่นมัน ผอ. สวีไม่ใช่เหรอครับ”
แม้สวีเจ้าอิ่งจะพยายามหลบอยู่ด้านหลังอย่างเต็มที่ แต่ก็ถูกฉู่จิงหงเห็นเข้าจนได้ สวีเจ้าอิ่งจึงจำเป็นต้องผงกศีรษะให้ฉู่จิงหงที่สวมเพียงผ้าเตี่ยวเอาไว้ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
ฉู่จิงหงโพสท่าเบ่งกล้าม โชว์กล้ามเนื้อให้สวีเจ้าอิ่งดูอย่างภาคภูมิใจ หญิงสาวมองผิวมันวาวด้วยน้ำมันนั่นแล้วกระแอมออกมา
“บ.ก. เมิ่งครับ เดี๋ยววันนี้ผมเป็นเจ้ามือเอง เราไปกินปิ้งย่างที่ร้านบ้านฟาร์มกันนะครับ!” ฉู่จิงหงเลิกเล่นแล้วหันมาพูดกับเมิ่งเทียนเทียน
เมิ่งเทียนเทียนบิดขี้เกียจก่อนจะตอบรับ “ก็ดีค่ะ ในเมื่อคุณมีความจริงใจขนาดนี้จะปฏิเสธได้ยังไง”
ฉู่จิงหงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่สวีเจ้าอิ่งกลับรู้สึกหัวสมองพองโต เธอกระตุกแขนเสื้อของเมิ่งเทียนเทียน พูดเสียงลอดไรฟัน “ไหนบอกว่าวันนี้จะให้ฉันเลี้ยง ทำไมไปกินกับเขาได้ล่ะ”
เมิ่งเทียนเทียนส่งสายตาให้สวีเจ้าอิ่ง “เรื่องของพีพีทำให้พวกเราต้องวุ่นกันตั้งนาน ไปถล่มเขาแค่สิบมื้อยี่สิบมื้อไม่ถือว่าเกินไปหรอกน่า อีกอย่างนะ วันนี้ฉันยังต้องสั่งสอนเขาด้วย”
แต่สวีเจ้าอิ่งอยากกินอาหารดีๆ เธอไม่อยากทนกลิ่นสาบของเนื้อแกะที่ตลบอบอวลอยู่เต็มร้าน แต่ก็จนใจจะค้านเพราะเมิ่งเทียนเทียนกับเฉิงจยาโหย่วไม่ยอมออกความเห็น ทำให้เธอต้องจำใจปล่อยเลยตามเลย