ยามออกจากจวนสกุลเสิ่น เสิ่นเฉียนนำองครักษ์คนสนิทอย่างเจียงหมิงขึ้นม้า ควบทะยานไปยังสนามฝึกตะวันตก
ทัพเขตเหนือของผู้บัญชาการสกุลเซี่ย ในศึกกับแคว้นฝานเมื่อครั้งก่อนเสียกำลังพลไปหนึ่งหมื่นกว่านาย ครึ่งปีก่อนเซี่ยจิ่นฉวยโอกาสช่วงที่สถานการณ์ยังสงบกลับมาเมืองหลวง นำทหารใหม่หนึ่งหมื่นกว่านายตั้งค่ายรอบๆ สนามฝึกตะวันตก ฝึกฝนอย่างขันแข็งทุกวันไม่หยุด คาดว่าสองเดือนให้หลังจะนำทหารใหม่หนึ่งหมื่นกว่านายนี้ไปเขตเหนือ
วันนี้จะทำการทดสอบคัดเลือกนายทัพระดับกลางของทัพชุดใหม่นี้ ในเมื่อเสิ่นเฉียนตอบรับเซี่ยจี่ไปแล้วย่อมต้องรักษาสัญญา ยิ่งกว่านั้นนางใคร่รู้ต่อผลลัพธ์การฝึกของเซี่ยจิ่นในครึ่งปีนี้อย่างมาก คำเชิญของเซี่ยจี่นับว่าตรงใจนางพอดี
ในฐานะที่เป็นสองแม่ทัพซึ่งอายุน้อยที่สุด ตำแหน่งและความสำเร็จสูงที่สุด ทั้งยังสะดุดตาที่สุดของราชวงศ์ต้าเซวียน เสิ่นเฉียนและเซี่ยจิ่นจึงล้วนประชันขันแข่งกันอย่างลับๆ
อาจเพราะหนึ่งภูเขาไม่อาจมีพยัคฆ์สองตัว ทั้งสองจึงขัดหูขัดตาอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็กๆ แน่นอนว่าในประวัติของสกุลเสิ่นและสกุลเซี่ยก็มีธรรมเนียมทำนองนี้ เบื้องหน้าปรองดองมีไมตรี เบื้องหลังกลับมีการโจมตีทั้งในที่ลับและเปิดเผยไม่น้อย แก่งแย่งชิงดีกันมาตลอด
โดยเฉพาะเมื่อยี่สิบปีก่อนเสิ่นซื่อ เข้าครอบครองตำหนักกลาง ฐานะของสกุลเสิ่นประหนึ่งน้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูง หลังเสิ่นฮ่วนบิดาของเสิ่นเฉียนครอบครองอำนาจทางการทหารของทัพเขตตะวันตกสิบหมื่น การแข่งขันระหว่างสองตระกูลทั้งในที่ลับและที่แจ้งก็ยิ่งดุเดือดขึ้น
ขณะเสิ่นเฉียนมาถึงสนามฝึกตะวันตกก็พ้นยามอู่ ไปแล้ว นางเข้าสนามฝึกแล้วลงจากม้า พริบตาเดียวก็มองเห็นเซี่ยจิ่นที่นั่งบนแท่นยกฝั่งตะวันออกของสนามฝึก
ภายใต้แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงที่แผดเผา เซี่ยจิ่นสวมชุดทหารทั้งร่าง เกราะใบหลิว ที่เดิมทีมีสีเงินสะท้อนแสงทองระยิบระยับ เขาไม่ได้สวมหมวกเกราะ ผมดำมัดอย่างเรียบร้อยบนศีรษะ ใบหน้ารื่นรมย์นั้นมองออกได้ในพริบตา ทว่าผู้ที่ต่อสู้อยู่ในนรกแห่งภูเขาศพทะเลเลือด เพียงเห็นเขาเม้มปากครั้งเดียว ขมวดคิ้วคราเดียว บรรยากาศเข่นฆ่าดุดันก็ห้อมล้อมรูปโฉมหล่อเหลานั่นแล้ว ทำให้ผู้คนอยากหลีกหนีโดยไม่มีเหตุผล
เซี่ยจิ่นเองก็เห็นเสิ่นเฉียนแล้วเช่นกัน เขาเม้มริมฝีปากน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น ก่อนลุกขึ้นยืนคารวะมาทางนี้ “แม่ทัพเสิ่น”
ใต้แท่นยกฝั่งตะวันออก ทหารสองนายที่กำลังประลองกันกลางสนามฝึกหยุดมือลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คนที่ล้อมอยู่รอบๆ ก็มองมาทางนี้เช่นกัน
เสิ่นเฉียนประสานหมัดคารวะกลับไปแล้วเดินขึ้นแท่นยกฝั่งตะวันออกท่ามกลางสายตาใคร่รู้ของทุกคนในสนามฝึก นางทักทายรองเสนาบดีเซวียแห่งกรมทหารที่ลุกยืนขึ้นอย่างสงบก่อนจะนั่งลงข้างเซี่ยจิ่น
“เหตุใดไม่เห็นท่านโหวเซี่ยเล่า” เสิ่นเฉียนรับถ้วยชาที่องครักษ์คนสนิทด้านหลังเซี่ยจิ่นส่งมาให้ เกลี่ยฟองในถ้วยออกแล้วจิบคำหนึ่ง
เซี่ยจิ่นมองดูในสนามแล้วโบกแขนขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าให้ ‘ดำเนินการต่อ’ รอเมื่อสองคนนั้นเริ่มต่อสู้กันอีกครั้งถึงเอ่ยว่า “เมื่อวานหลังออกจากเมือง ท่านพ่อข้าก็ไปพักในวัดเป่าติ่งที่นอกเมือง ราวๆ ยามซวีถึงจะกลับมา”
“อ้อ” เสิ่นเฉียนร้องคำหนึ่ง จดจ่อมองดูพลทหารสองนายที่เข้าสู่สภาพคุมเชิงกันกลางสนาม
พวกเขาถูกเซี่ยจิ่นฝึกออกมาได้ไม่เลว ล้วนใช้ดาบด้ามยาวสันดาบแคบในการต่อสู้ ไม่มีกระบวนท่าเสียเปล่าอะไร วิชาดาบแข็งแกร่ง เมื่อลงดาบที่ตัวคู่ต่อสู้ล้วนเข้าจุดสำคัญ เพียงแต่ยังไม่ได้ผ่านการขัดเกลาจากสนามรบ ยามออกท่าทางจึงดูล่องลอยอยู่บ้าง ลงมือไม่เฉียบคมพอ ขาดกลิ่นอายเข่นฆ่าที่เด็ดขาดไปสักหน่อย
เซี่ยจิ่นเองก็มองออกนานแล้วว่าปัญหาอยู่ตรงที่ใด สองตามีประกายคลุมเครือ นิ้วมือกดที่กลางหว่างคิ้วแล้วนวดเบาๆ
รองเสนาบดีเซวียที่อยู่ด้านข้างอธิบายให้เสิ่นเฉียนฟัง “เมื่อวานทดสอบวิชาความรู้เสร็จแล้ว วันนี้ทดสอบความสามารถ ช่วงเช้าทดสอบการขี่ม้ายิงธนู ตอนนี้เป็นการคัดเลือกรองผู้บังคับกอง…ตามความตั้งใจของแม่ทัพเซี่ย ตำแหน่งที่คัดเลือกในครั้งนี้เป็นตำแหน่งชั่วคราว ดำรงตำแหน่งเพียงครึ่งปี ครึ่งปีให้หลังเมื่อมีผลงานค่อยคัดเลือกอีกครั้ง”
เสิ่นเฉียนพยักหน้าพลางยิ้มกล่าว “ต้องเข้าสนามรบถึงจะเห็นความสามารถจริงๆ”
สายตานางจดจ่ออยู่ในสนามฝึกที่กำลังต่อสู้กันไปมา เหล่าทหารใหม่ที่อยู่รายรอบสนามฝึกใต้แท่นยกฝั่งตะวันออกนอกจากมองดูการต่อสู้แล้วยังสังเกตดูนางอย่างเงียบๆ เช่นกัน