X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักคือ··· เธอทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คือ… เธอ บทที่ 2-บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 14

ตอนที่ 2

สตรีร่างระหงยืนมองภาพเงาสะท้อนในกระจก ชุดเกาะอกสีทองหม่นคลุมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าโปร่งสีทองตัวยาวปักเลื่อมวาวระยับ ผมตรงยาวเหยียดถูกรวบตลบทบเป็นชั้นขึ้นไปอย่างมีศิลปะ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีน้ำตาลเหลือบทองดูคลาสสิก ต่างหูเพชรทรงระย้าห้อยยาวลงมาจากติ่งหูทั้งสองข้างช่วยขับใบหน้ารูปไข่ให้ดูงามโดดเด่นยิ่งขึ้น

งามราวภาพจิตรกรรม

ไม่เคยคิด ไม่เคยฝันเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นคนสวยได้ขนาดนี้

อรกานต์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ งานนี้เป็นการออกงานสังคมครั้งแรกของหล่อน สำหรับไทร่าตัวจริง มันคงเป็นความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่สำหรับหล่อน มันก่อให้เกิดความเครียดสวยมาก ย่อมสะดุดตามากสะดุดตามากย่อมถูกจับตามองถูกจับตามองมากย่อมไม่มีความสุข

หล่อนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ พยายามผ่อนคลาย สำรวจความเรียบร้อยของใบหน้า ทรงผม และเครื่องแต่งกายในกระจกอีกทีก่อนจะเดินออกจากห้อง

 

“สวยจริงลูกแม่” คุณหญิงวราภรณ์ทักอย่างยินดีทันทีที่เห็นหน้าลูกสาว พลเอกธาริตหันมายิ้มกว้าง เดินตรงเข้ามาโอบไหล่หล่อนไว้

“สวยอย่างนี้ เห็นทีพ่อคงต้องคอยยืนคุมตลอดงานแล้วมั้ง”

“คุณแม่ก็สวยมากค่ะ ไทร่าว่าพ่อไปคอยเฝ้าคุณแม่ดีกว่า เดี๋ยวมีหนุ่มๆ มารุมล้อมแล้วจะหาว่าลูกไม่เตือน”

ท่านนายพลหัวเราะเบาๆ ยื่นอีกมือไปโอบบ่าคุณหญิงผู้เป็นภรรยา “งั้นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในงานก็อยู่ตรงนี้แล้ว มีคนสวยสุดยอดขนาบทั้งซ้ายขวาอย่างนี้ ใครต่อใครคงอิจฉากันเป็นแถว”

ท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางเดินนำภรรยาและบุตรสาวไปยังห้องที่จัดงานเลี้ยง

งานนี้จัดเป็นงานกาลาดินเนอร์การกุศลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปีก็ว่าได้ รายได้นอกจากจะสมทบทุนเข้าองค์กรการกุศลขนาดใหญ่องค์กรหนึ่งแล้ว ยังมีรายได้อีกส่วนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลด้วย งานนี้คุณหญิงวราภรณ์บริจาคหลักล้าน ดังนั้นงานนี้จะขาดคุณหญิงและครอบครัวไม่ได้เด็ดขาด ประกอบกับโรงแรมพรหมภัทราคือสถานที่ที่ใช้จัดงานราตรีสุดพิเศษครั้งนี้ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่คุณสาริศ ภคภัทรา ประธานกรรมการบริหารจะเปิดตัวหลานสาวในฐานะผู้บริหารคนใหม่ของโรงแรมไปในตัว

นี่คืองานเปิดตัวหล่อนสู่วงสังคมไฮโซของประเทศไทยโดยแน่แท้เชียว พลาดไม่ได้ทั้งในฐานะบุตรีของคุณหญิงวราภรณ์ และในฐานะของผู้บริหารคนใหม่คนหนึ่งของโรงแรมพรหมภัทรา

โดยรูปโฉมแล้ว อรกานต์คิดว่าไม่มีปัญหา แต่เรื่องการเข้าสังคมนี่สิ หล่อนไม่รู้ว่าจะไหลลื่นกลมกลืนไปกับคนเหล่านี้ได้ดีขนาดไหน ไม่อยากจะเงอะๆ งะๆ ให้ใครมาด่าได้ว่า สวยแต่โง่ ถ้าหล่อนพลาดตั้งแต่งานแรกนี้ หล่อนก็คงเป็นหน้าเป็นตา เป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ท้องไส้บิดเกลียวไปหมด

 

ธีร์วรา ภคภัทราเดินเกาะแขนผู้เป็นบิดาเข้าไปในงานด้วยสีหน้านิ่งสงบ กิริยาท่าทางดูเรียบร้อย สง่างามอยู่ในที ผู้เป็นพ่อและแม่มีท่าทางยินดีและภาคภูมิใจที่จะแนะนำบุตรสาวให้คนโน้นคนนี้ได้รู้จัก อรกานต์เริ่มผ่อนคลายเมื่อรู้สึกว่าท่านนายพลกับคุณหญิงอยู่ข้างกายตลอดเวลา คอยแนะนำให้รู้จักผู้ใหญ่หลายท่าน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นท่านที่มีนามสกุลดังๆ ทั้งนั้น) หล่อนไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ยิ้ม พนมมือไหว้ ทักทายตามมารยาท ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไปนิดหน่อยพอเป็นพิธี บางท่านคุยเก่งหน่อยก็ชวนคุยนานหน่อย ซึ่งก็ไม่ยากที่จะคุยไปในทิศทางเดียวกัน แค่ไม่ขัดคอคนอยากเล่า แค่นี้ก็ดูเป็นคู่สนทนาที่ดีแล้ว

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ท่านนายพลเริ่มแยกไปรวมกลุ่มกับชายวัยไล่เลี่ยกัน ยศศักดิ์ใกล้เคียงกัน คุณหญิงก็เริ่มปลีกไปรวมกับเหล่าคุณหญิงไฮโซไฮซ้อทั้งหลาย เหลือหล่อนให้ยืนถือแก้วน้ำส้มคุยกับเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของสถาบันเสริมความงามชื่อดังอยู่คนเดียว

หลังจากยืนยิ้มและพยักหน้าเออออห่อหมกฟังการสาธยายวิธีการบำรุงผิวหน้าและผิวกายด้วยวิธีที่วิเศษที่สุดในพิภพนี้อยู่นาน สุดท้ายอรกานต์จึงตัดสินใจรับนามบัตรจากสตรีท่านนั้นมาด้วยความเคารพ ทำทีว่าอาจจะติดต่อไปภายหลังเพื่อซื้อคอร์สเลอเลิศนี้สักคอร์ส เถ้าแก่เนี้ยแสนสวยมาดเนี้ยบท่านนั้นจึงยอมผละไป

เอาล่ะสิ ยืนคนเดียวแล้วทีนี้

แล้วหล่อนก็เห็นชายผู้หนึ่งมองตรงมา ผู้ชายร่างสูงใหญ่ สูงประมาณหกฟุต หรือร้อยแปดสิบเซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา ผิวขาว คิ้วเข้ม จัดว่าหน้าตาดี…ดีมากทีเดียว และที่สำคัญเขากำลังมองตรงมาทางหล่อนชนิดไม่วางตา

เพียงชั่วอึดใจ อรกานต์ก็ยืนตัวแข็งทื่อ เย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หล่อนจำผู้ชายคนนี้ได้ หล่อนเคยเห็นเขาไปรับไปส่งไทร่าที่มหาวิทยาลัยช่วงระยะเวลาหนึ่ง

คู่ขาเก่า! หล่อนปะคู่ควงเก่าของธีร์วราเข้าอย่างจัง! ทำไงดี

และอีกเพียงเสี้ยวนาที ร่างสูงใหญ่นั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน

“ไม่เจอกันนานนะครับไทร่า สบายดีหรือ”

“สบายดีค่ะ คุณล่ะคะ” อรกานต์ชักหายใจไม่ทั่วท้อง เขาชื่ออะไรก็ไม่รู้ สนิทกับร่างของหล่อนแค่ไหนก็ไม่รู้ และถ้าคนมัน เคยๆกันมา เขาจะคาดหวังอะไรจากหล่อนในคืนนี้

“ผมก็เรื่อยๆ นะ งานยุ่ง เครียด แต่ก็มีอะไรๆ มาช่วยคลายเครียดเยอะ เลยไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่”

“ไอ้อะไรๆ ของคุณนี่มันอะไรกันคะ” หล่อนถามไปตามที่สงสัยจริงๆ หากอีกฝ่ายกลับชะงัก

“ก็ไปเที่ยว หาคนมาช่วยคลายเครียด ไปตีกอล์ฟบ้าง เล่นเทนนิสบ้าง”

อรกานต์แอบกลั้นลมหายใจเมื่อได้ยินคำว่า ‘หาคนมาช่วยคลายเครียด’

คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถอะ หล่อนจะจัดการกับสถานการณ์เฉพาะหน้านี่อย่างไรดี

“ฉันเพิ่งเริ่มงานที่โรงแรมค่ะ ทำได้แค่สองสามวันเอง ยังไม่ได้งานอะไรมาก ส่วนใหญ่จะนั่งอ่านเอกสารอยู่ในออฟฟิศมากกว่า”

เขาพยักหน้ารับขรึมๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย “คืนนี้คุณสวยมาก ชุดสีทอง เสื้อคลุมทอง อย่างกับเจ้าหญิงอาหรับ ดูขลัง มีเสน่ห์”

อรกานต์หนาวเยือก ไอ้ประโยคอย่างนี้มันจะพาไปสู่อะไรต่อไป แล้วหล่อนจะหลบอย่างไรดี เขาเป็นใคร ชื่ออะไร ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ เกิดทำอะไรหักหาญไปแล้วไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาของหล่อนกับของเขาขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่

โอยใครก็ได้ช่วยด้วย

อรกานต์ยิ้มเย็น ตอบกลับเรียบๆ “ขอบคุณค่ะ”

จะมีใครรู้มั้ยว่าหล่อนสั่นจะแย่อยู่แล้ว

“น้ำส้มของคุณละลายหมดแล้ว เปลี่ยนแก้วใหม่มั้ยครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

หล่อนฉวยโอกาสตอนที่บริกรถือถาดใส่แก้วน้ำเดินโฉบเข้ามาใกล้ รีบวางแก้วน้ำลงบนถาดแล้วเตรียมจะเดินเลี่ยงไป หากก็ถูกตรึงอยู่กับที่ ยืนนิ่งราวต้องมนต์

ผู้ชายอีกคนกำลังเดินตรงมาทางหล่อน สายตาคมกริบจับจ้องอยู่ที่หล่อนแน่วแน่ อรกานต์รู้สึกสะท้านไปทั่วสรรพางค์ ในช่องท้องราวมีผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวมากระพือปีก ในใจหวิวๆ หวามๆ พร้อมกับอาการเต้นระรัวราวกับตีกลองมโหระทึก

ชายคนนี้สูงกว่าคนแรกเล็กน้อย ผิวสีทองแดงอ่อนๆ บอกให้รู้ว่าสีเข้มเพราะแสงแดด มิใช่สีผิวจริงๆ คิ้วเข้มพาดเฉียงอยู่เหนือดวงตาซึ่งคมราวใบมีด สันจมูกตรงได้รูปนั้นมีปลายรั้นน้อยๆ อย่างคนถือดี ริมฝีปากเต็มสีแดงเรื่อตามธรรมชาติ รับกับรูปคางที่คมสันได้อย่างงดงามไม่มีที่ติ รังสีแห่งบุรุษเพศฉายชัด ท่วงท่าอิริยาบถล้วนเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ…อย่างกับนักรบกรีกโบราณ

ทั้งดาร์ก ทอล แอนด์แฮนซั่ม ครบสูตร

ไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนหล่อ แต่ไม่เคยมีใครทำให้หล่อนใจสั่นได้ขนาดนี้

ตั้งแต่เป็นธีร์วรามา ก็มีคนหน้าตาดีเข้ามาสนทนาทักทายด้วยบ่อยไป แต่ไม่เคยมีใครทำให้หล่อนสั่นไหวขนาดนี้

โอคุณพระ คืนนี้มันอะไรกันลูกจะรอดมั้ยนี่

ชายคนแรกปราดเข้ามายืนเคียงข้างหล่อน แตะปลายแขนเล็กน้อยอย่างสุภาพ “ไทร่าครับ นี่เพื่อนผม กฤติน”

“กริช นี่คุณไทร่า ธีร์วรา ภคภัทรา”

ดวงหน้าคมเข้มเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ที่มุมปาก พาให้ใจไหวพลิ้วอีกครั้ง

“สวัสดีครับ ผม กฤติน ธนวัฒน์”

หล่อนทำได้แค่เพียงยิ้มตอบ พยายามระงับอาการประหม่าที่แล่นเข้ามาเป็นระลอกดั่งคลื่นกระทบฝั่ง เลี่ยงการสบสายตาตรงๆ ด้วยเกรงว่าแววตาของหล่อนจะสะท้อนความรู้สึกจนหมดสิ้น

“ผมเป็นเพื่อนสนิทกับทินกร เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เกาะติดกันมาแต่ชั้นประถม”

อ้อ! หนุ่มผิวขาว หน้าหล่อใสชื่อทินกรนี่เอง

“แต่กริชไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ขึ้น ม.1 เรียนจนจบตรี ทำงานที่นั่นหาประสบการณ์ก่อนสองปี แล้วก็ต่อโท ทำงานหาประสบการณ์อีกปีแล้วค่อยกลับมาเมืองไทยนี่ล่ะครับ”

“คุณกริชเพิ่งกลับประเทศไทย หลังจากไปอยู่อังกฤษมาสิบกว่าปีหรือคะ”

“เปล่าครับ” กฤตินยิ้ม “ผมกลับมาได้สามปีแล้ว โดนเรียกกลับครับ ท่านว่าส่งเสียไปหลายตังค์กว่าจะได้เรียนจนจบ กลับมาทำงานใช้ทุนท่านเสียที”

หล่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบสวนกันพอดี เขากลับมาได้สามปี หล่อนไม่อยู่สามปี

“ดีค่ะ ประเทศไทยจะได้มีทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น”

“ครับ เหมือนผมนี่ไง” ทินกรแทรก “ผมไปเรียนปริญญาตรี จบปุ๊บก็ต่อปริญญาโทปั๊บ เสร็จแล้วก็กลับมาทำงานเลย ประเทศไทยไม่เสียดุล”

อรกานต์ยิ้ม “ค่ะ ฉันก็จบปุ๊บ กลับปั๊บเหมือนกัน”

สองหนุ่มยืนสบตากัน หยั่งเชิงกันอยู่ในที เรียกได้ว่าเพื่อนกันก็อ่านกันออก แค่มองตาก็เห็นทะลุได้ถึงตับไตไส้พุง เพียงครู่ทินกรจึงขอตัว

กฤตินผายมือเชิญหล่อนไปยืนในบริเวณที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น อรกานต์ยังใจเต้นตึกตัก หากก็ยังคงความนิ่ง สำรวมไว้ได้

“คุณกับทินกรรู้จักกันมาหลายปีแล้วหรือครับ”

“ค่ะ ก็หลายปีอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่สมัยฉันยังเรียนอยู่มหา’ลัย” หล่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางยิ้ม รู้อยู่กับตัวเองคนเดียวว่ายิ้มสู้ไม่ใช่ยิ้มหวาน

“แต่คุณคงไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยกับฉันเรื่องคุณทินกรหรอก จริงมั้ยคะ”

หล่อนไม่รู้จักทินกร ไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างไทร่ากับทินกร และไม่คิดจะรู้ด้วย ดังนั้นการเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ได้เป็นดีที่สุด

และประโยคที่พูดไปนั้นได้ผล กฤตินส่งนัยน์ตาวาววับมาก่อนจะตัดบท “จริงครับ เรื่องทินกรไม่น่าคุยหรอก คุยเรื่องคุณดีกว่า”

“เรื่องของฉันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกค่ะ น่าเบื่อออก”

แต่นั่นขวางนายพรานมือฉมังระดับกฤตินไม่ได้หรอก เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง เขาก็รู้หมดว่ากระต่ายตัวนี้เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทยจนถึงปีสี่ แต่เรียนไม่จบ จากนั้นจึงไปเรียนด้านการโรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่งสำเร็จกลับมาและเพิ่งเริ่มงานที่โรงแรมพรหมภัทรานี้ได้ไม่กี่วันในตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ มีคุณวิรัช ผู้จัดการทั่วไปเป็นผู้สอนและมอบหมายงาน และมีเลขาฯ คนสนิทของคุณสาริศ ชื่อรัชนกมาคอยเป็นผู้ช่วย

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้ว่าหล่อนชอบฟังเพลงแนวไหน ดูหนังประเภทใด อ่านหนังสือประเภทไหน มีการสันทนาการยามว่างอย่างไร และที่สำคัญ ตอนนี้ทั้งตัวและหัวใจยังว่าง

หล่อนเองก็ได้ทราบว่าเขาคือบุตรชายของคุณฐิติ ธนวัฒน์ นายธนาคารผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของ

ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยทั้งหล่อเหลือร้าย และยังรวยล้นฟ้า

นี่เป็นผู้ชายประเภทที่อรกานต์เลือกที่จะหลบก่อนใครเพื่อน หล่อนมีทฤษฎีของหล่อนเองว่า ถ้ามีทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติพร้อมขนาดนี้แล้วล่ะก็ เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ล้วนเป็นเพลย์บอย

ดังนั้นหญิงสาวจึงจ้องหาโอกาสที่จะขอตัวหลบฉากออกมา ปิดการสนทนาในครั้งนี้เสีย หากชั้นเชิงผิดกันมากนัก คู่ต่อสู้มิเปิดโอกาสให้หล่อนทำเช่นนั้นได้

อรกานต์จึงได้รับทราบต่อมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนสนิท ดูเหมือนทินกรจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาในประเทศไทย ทั้งคู่เรียนโรงเรียนประถมชายล้วนมาด้วยกัน ครั้นกฤตินไปเรียนชั้นมัธยมที่ประเทศอังกฤษจึงห่างหายจากเพื่อนคนอื่นๆ ไป มีเพียงทินกรเท่านั้นที่ยังส่งจดหมายถึงกันสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาหลายปี และกลับมาสนิทสนมกันเหนียวแน่นเหมือนเดิม เมื่อทินกรไปใช้ชีวิตอยู่กับกฤตินที่อังกฤษถึงหกปีระหว่างเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท

กฤตินทำงานที่ธนาคาร เป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งในกิจการที่คุณพ่อและคุณอาของเขาเป็นผู้บุกเบิก ส่วนทินกรเป็นบรรณาธิการและบรรณาธิการร่วมของนิตยสารถึงสามเล่ม และเป็นนักเขียนที่มีค่าตัวแพงคนหนึ่ง เพิ่งรู้ว่าพ็อกเก็ตบุ๊กเบาสมองเล่มบาง หนึ่งในจำนวนเล่มโปรดของหล่อนนั้น ก็เป็นผลงานของทินกรเช่นกัน

เพียบพร้อมทั้งคู่สองเสเพลย์บอยอันตรายอย่างยิ่ง!

หญิงสาวบอกกับตัวเองตลอดเวลาว่าให้หาทางปลีกตัวออกมาซะ แต่เมื่อหาหลายวิถีทางแล้วไม่เป็นผล จึงตัดบทง่ายๆ “ขอตัวก่อนนะคะ ฉันจะไปหาคุณพ่อสักครู่”

“คุณพ่อคุณยังไม่กลับหรอก กำลังคุยเพลิน”

“ค่ะ แต่ก็ดื่มไปมาก ต้องไปเตือนหน่อยค่ะ หมอห้ามไม่ให้ดื่มเยอะ”

ว่าแล้วก็หมุนตัวขวับเตรียมเผ่นทันที แต่นายพรานก็ไวกว่ากระต่ายจนได้

กฤตินคว้าแขนขาวๆ นั้นไว้ได้ทันควัน ไม่ได้บีบจนเจ็บ หากก็จับไว้แน่น และมั่นคงพอที่จะไม่ปล่อยให้หลุดไปได้ง่ายๆ “ผมจะเดินไปเป็นเพื่อน”

“คะ!?” อรกานต์อุทานเสียงสูง จะโวยวายมากกว่านี้ก็ไม่กล้า ด้วยใบหน้าคมคร้ามนั้นแม้จะดูราบเรียบ หากในแววตาเหมือนมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

กฤตินไม่พอใจจริงๆ เขาไม่เคยชินกับการปฏิเสธจากผู้หญิง ไม่ว่าจะสวยระดับไหนก็ตาม

ดวงตาหวานซึ้งสบกับตาคมกริบอยู่พักหนึ่งก่อนอรกานต์จะถอนใจอย่างยอมแพ้ ยอมให้เขาเดินเคียงคู่เข้าไปหานายพลธาริต จำใจต้องแนะนำให้เขารู้จักกับบิดา และหลังจากที่หล่อนเตือนท่านนายพลเบาๆ เกี่ยวกับการดื่มเหล้าแล้ว หล่อนก็ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่สนทนากับกฤตินจนเลิกงาน

“ไงวะไอ้กริช เกาะคุณไทร่าติดหนึบเลยนะแก สาวๆ อกหักกันทั่วงานเลย”

“สวย…หวาน…น่าสน” กฤตินตอบยิ้มๆ ด้วยท่วงท่าสบายๆ

“ชิมได้…หวาน…อร่อย” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

“หา! อะไรนะ”

“หวานอร่อยไง ฉันชิมมาแล้ว”

“เฮ้ย!”

“ไม่ใช่แค่ฉัน พวกไอ้เมธ ไอ้ยศ ไอ้วิน ไอ้พี ก็ชิมแล้ว”

“หา! คนนี้น่ะเหรอ ที่แกเคยพูดถึงน่ะ คนนี้จริงๆ เหรอ”

“ก็เออดิ ธีร์วรา ภคภัทราจะมีกี่คนบนโลก”

“ไม่น่าเชื่อ” กฤตินอุทานเสียงแผ่ว จากที่ได้สนทนากันร่วมสองชั่วโมง เขาดูว่าหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงประเภทนั้นเลย

“ไม่น่าเชื่ออะไรวะ อ่านง่ายจะตาย คุยกันไม่กี่คำ ถ้าคุณเธอพอใจก็โอเค ด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ถ้าพอใจจะคบกันต่อก็คบ พอใจจะจบก็จบ ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก”

“จริงอ้ะ” กฤตินเอียงคอถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

หรือเขาจะอยู่ในข่ายที่ไม่น่าประทับใจหล่อน ถึงได้บ่ายเบี่ยงลูกเดียว วางท่าราวกุลสตรีผู้สูงศักดิ์ ประพฤติปฏิบัติตามกรอบจารีตประเพณีทุกอย่าง

“ทำไม เค้าไม่โอเคกับแกเหรอ” คนเป็นเพื่อนถามตรงๆ

“ไม่หรอก” กฤตินวางฟอร์ม จะให้รู้ได้ยังไงว่าถูกบอกปัดทุกประตู เสียเชิงหมด

“เพียงแต่เห็นเค้านิ่งๆ ยังไม่มีท่าทีอะไรเลย ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบ…แบบนั้น”

“สงสัยยังไม่คุ้นมั้ง เพิ่งเจอกันครั้งแรกครั้งเดียวเอง แถมอยู่ในที่ที่คนพลุกพล่าน เค้าคงไม่อยากแสดงออกมาก ถ้าแกสนใจก็รุกเลย ไม่ยากหรอก เดี๋ยวเดียว สบาย…”

ทินกรหัวเราะลงลูกคอก่อนพูดต่อ “เค้าชิมกันมาหมดแล้ว เหลือแกคนเดียว ถ้าชวดล่ะก็ เสียเชิงชาติอาชาไนยแน่เลยว่ะ”

ประโยคสุดท้ายนี่แท้ๆ เชียว ที่ทำให้กฤตินแอบหมายมาดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ ว่าเขาจะเสียเชิงไม่ได้เด็ดขาด!

 

“คุณไทร่าคะ มีคนมาขอพบค่ะ” เสียงของเลขาฯ ดังขึ้นผ่านเครื่องอินเตอร์คอมพาให้สตรีซึ่งกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์สะดุ้งสุดตัว

“คะ คุณนก อะไรนะคะ”

“มีคนมาขอพบค่ะ”

“ใครคะ” อรกานต์ที่ยังไม่คลายอาการหน้านิ่ว กลับต้องขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าเสียอีก ใครกันมาขอพบ หล่อนแทบไม่รู้จักใครเลย ทำงานยังไม่ถึงสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ

“คุณกฤตินค่ะ”

ทีนี้หญิงสาวสะดุ้งหนักกว่าคราวแรก จนเก้าอี้ติดล้อตัวที่นั่งอยู่เลื่อนถอยหลังไปนิดหนึ่ง

กฤตินมาขอพบ! หล่อนควรจะตอบอย่างไรดี ใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธ ผู้ชายคนนี้อันตราย หล่อนจัดเขาไว้ในประเภทเพียบพร้อม ซึ่งเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของชายประเภทนี้ ถ้าไม่เจ้าชู้ก็มีอีโก้สูงจัด ไม่น่านำพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยประการทั้งปวง แต่อีกใจกลับมองเห็นเสี้ยวหน้าคมคายกับดวงตาคมกริบวาววับชัดเจน

“คะ…คุณคะ คุณกริชเดินเข้าไปแล้วค่ะ”

เสียงจากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นอย่างร้อนรน คนได้ฟังก็ตกใจจนมือไม้เย็น เงยหน้าขึ้นมองประตูก็ได้ยินเสียงเคาะพอดี

ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากเอ่ยคำอนุญาต ร่างสูงใหญ่ก็มาปรากฏตัวอยู่หลังบานประตูเสียแล้ว

อรกานต์ลุกขึ้นยืนตามมารยาท สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพนมมือไหว้ทักทาย “สวัสดีค่ะ เชิญนั่งสิคะ”

กฤตินรับไหว้ แปลกใจอยู่ครามครัน ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหล่อนจะทักทายด้วยการไหว้

ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็ต้องแปลกใจรอบสอง เมื่อมองดวงหน้าเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา ปราศจากสีสันของเครื่องสำอางใดๆ แต่งแต้ม ผมยาวสลวยถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างง่ายๆ

และแปลกใจรอบสาม เมื่อเห็นหล่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตลายทางสีเทาสลับขาวกับกางเกงผ้าสีอ่อน ไม่ใช่เสื้อผ้าอ่อนหวานมีสไตล์ตามแบบฉบับของผู้เกาะติดวงการแฟชั่น

“คุณกริชมีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ”

กฤตินยังคงมองสำรวจใบหน้าขาวนวลอยู่ไม่วางตา นี่ขนาดไม่ได้แต่งเติมตรงไหนสักนิดเลยนะเนี่ย ใครหนอช่างปั้นช่างวาดออกมาได้งามขนาดนี้

“คุณกริช” หญิงสาวเรียกอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเขายังคงจ้องหน้าเธออยู่แบบนั้น “มีอะไรติดอยู่บนหน้าฉันรึเปล่าคะ”

กฤตินหัวเราะน้อยๆ ค่อยรู้สึกตัว “เปล่าครับ ผมแค่มองว่าคุณเหมือนคนละคนกับเมื่อคืนเลย”

“เวลาออกงานกับทำงานจะให้เหมือนกันได้ยังไงคะ”

“เวลาทำงานคุณแต่งตัวแบบนี้ แต่งหน้าทำผมแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”

“เปล่าค่ะ” อรกานต์หัวเราะเบาๆ กล่าวต่ออย่างเขินๆ “เมื่อคืนฉันนอนดึก กว่าจะล้างเครื่องสำอาง กว่าจะจัดการแกะกิ๊บบนศีรษะ กว่าจะสระผมจนหมดคราบสเปรย์ได้ก็เล่นเอาหมดแรง เมื่อเช้าก็เลยตื่นสายนิดหน่อย กลัวจะมาทำงานสายก็เลยไม่ได้แต่งหน้าทำผมอะไร”

“แล้วตอนนี้งานเสร็จรึยังครับ”

“คะ!” หล่อนอุทานเสียงสูง ด้วยยังไม่ทันตั้งรับกับการจู่โจมอย่างกะทันหัน

“หกโมงเย็นแล้ว ได้เวลาเลิกงานแล้วครับ ไปทานข้าวเย็นกัน”

“เอ่อ…คือ…” ปฏิเสธยังไงดีวะนี่

ตั้งแต่เป็นธีร์วรามา ดวงเรื่องผู้ชายเฟื่องน่าดู แต่หล่อนก็หาทางบ่ายเบี่ยงได้ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาจีบ หาทางหลบได้สวยทั้งจีบแบบรุกและแบบนิ่มนวล

มีแต่ตอนที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้แหละที่สมองมันสั่งงานช้า หาทางหลบไม่ได้

“ฉะ…ฉัน…นัดเพื่อนไว้แล้วน่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วย”

“งั้นไปรับเพื่อนคุณก่อน แล้วไปต่อกัน” เขาตอบกลับในทันที

“คุณกริชคะ เราจะไปซื้อของกันประสาผู้หญิงน่ะค่ะ”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”

“คุณกริช!” อรกานต์จ้องใบหน้าเรียบเฉยนั้นด้วยอาการตะลึง ติดจะโมโหนิดๆ ถ้าเขาคิดว่าตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลกล่ะก็ เขาคิดผิดแล้ว หล่อนไม่ชอบให้ใครมามัดมือชก

แต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดอะไรต่อ กฤตินก็ขัดขึ้นเสียก่อน “ถ้าคุณมีนัดกับเพื่อนจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง แต่ถ้าคุณไม่ได้นัด ทานข้าวกับผมสักมื้อก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ เสร็จแล้วคุณจะดูหนัง หรือฟังเพลง หรือจะกลับบ้านก็ตามใจ รับประกัน ผมส่งถึงหน้าประตูบ้าน”

หญิงสาวนิ่ง ยังคงจ้องใบหน้าคมด้วยแววตาขุ่นเคือง

“รู้สึกว่าหนังเรื่อง…” น่าโมโหนักที่กฤตินเอ่ยชื่อภาพยนตร์เรื่องที่หล่อนอยากดูขึ้นมาพอดี “จะมีฉายที่…ตอนทุ่มกว่าๆ ถ้าคุณออกจากโรงแรมตอนนี้เราคงดูทัน หาอะไรง่ายๆ ทานหน้าโรงหนังก็ได้”

อรกานต์ยังคงนิ่ง ในหัวรีบคำนวณกำไรขาดทุนคร่าวๆ

นิลยาจะไม่เข้ากรุงเทพฯ อาทิตย์นี้ หมายความว่าถ้าหล่อนอยากดูหนังนี่ หล่อนก็ต้องไปดูคนเดียว และเมื่อนึกถึงห้างสรรพสินค้าที่กฤตินเอ่ยขึ้นมา ภาพร้านหนังสือร้านใหญ่ที่อยู่ชั้นเดียวกับโรงภาพยนตร์ก็ผุดแทรกขึ้นมา ตามด้วยร้านการ์ตูนที่อยู่อีกมุมให้ตายตามด้วยร้านไอศกรีมที่อยู่ถัดไปด้วย

นี่หล่อนห่างไกลวงการภาพยนตร์ วงการหนังสือ และชมรมคนรักไอศกรีมมานานขนาดไหนแล้วเนี่ย

“ถ้ารีบไป เราอาจมีเวลาพอให้คุณเดินช็อปปิ้งได้”

แววตาขุ่นเคืองเริ่มอ่อนแสงลง

กฤตินอมยิ้ม “นึกออกรึยังครับว่าอยากทานอะไร”

แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้ดูภาพยนตร์ดังที่ตั้งใจไว้แต่แรก เนื่องจากเวลาฉายของภาพยนตร์ที่อรกานต์ตัดสินว่ามัน ‘ดึกเกินไป’

สองทุ่มเนี่ยนะ!? กฤตินโวยวายอยู่ในใจ

“กว่าหนังจะจบคงสี่ทุ่มนะคะ แล้วกว่าฉันจะกลับถึงบ้านล่ะ แล้วคุณจะยิ่งกลับดึกไปกว่านั้นอีก ไม่เอาล่ะค่ะ เกรงใจ” หล่อนว่าอย่างนั้น

ดังนั้นทั้งคู่จึงทานอาหารเย็นด้วยกัน ตามด้วยการเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า

อรกานต์ไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อจู่ๆ ก็ตัดสินใจเดินดุ่มๆ เข้าร้านหนังสือการ์ตูน กฤตินอึ้งเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินตามเข้าไปในร้านแต่โดยดี

หล่อนเลือกหนังสืออย่างเพลิดเพลิน ท่าทางชำนิชำนาญประหนึ่งผู้ที่อยู่ในยุทธจักรมานาน ส่วนเขาก็เพลิดเพลินกับการยืนดูหล่อนเพลิดเพลินนั่นแหละ

เพียงไม่นาน หญิงสาวผู้ที่ทำหน้าบึ้งหน้าตึงเพราะอดดูหนังก็ได้ยิ้มร่าพร้อมการ์ตูนญี่ปุ่นสามเล่มในมือ ขณะเดินออกจากร้าน

เดินไปอีกนิดก็เจอร้านหนังสือขนาดใหญ่ อรกานต์หยุดกึกทันที “คุณกริชคะ ฉันขอแวะซื้อหนังสือหน่อยนะคะ”

กฤตินพยักหน้ารับง่ายๆ เดินตามเข้าไปในร้าน

“ฉันเลือกนานนะคะ ถ้าคุณเบื่อ…”

“ผมเดินเล่นรออยู่ในร้านนี่แหละ เชิญคุณตามสบาย”

แล้วหล่อนก็ตามสบายจริงๆ เดินเปิดเล่มนั้นปิดเล่มนี้ อ่านหน้าปกหลังปกเล่มนั้นเล่มนี้ไปทั่ว ทำราวกับว่าร้านนี้คือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่างไรก็อย่างนั้น

อรกานต์ยืนเลือกยืนอ่านอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยตัวตามสบายไม่รีบร้อน ทุกทีเคยใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือนานเท่าใด วันนี้ก็อยากจะใช้ให้นานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะนี่คือตัวตนของหล่อน หากเขาคิดจะจริงจังกับหล่อน เขาก็ควรจะรับทราบเอาไว้ และหากเขาคิดจะเล่นๆ กับหล่อน ก็สมควรแล้วนี่ ที่จะปล่อยให้คอยซะให้เข็ด บางทีนี่อาจจะทำให้เขาถอนตัวจากหล่อนไปเลยก็ได้

เวลาร่วมชั่วโมงผ่านไป กฤตินไม่ได้มีอาการเมื่อยหรือเบื่ออย่างที่หล่อนคิดไว้เลย ตรงข้าม เขากลับยืนอ่านหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ต่อไปอย่างใจเย็น

“ฉันเลือกได้แล้วค่ะ” เสียงของอรกานต์เรียกให้กฤตินละสายตาจากหนังสือตรงหน้า

มือใหญ่ยาวสีเข้มยื่นออกมาโดยไม่มีคำพูด

“ไม่เป็นไรค่ะคุณกริช ฉันจ่ายเอง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”

อรกานต์จึงส่งหนังสือในมือให้เขาไปสี่เล่ม กฤตินรับมาดูคร่าวๆ เป็นหนังสือกลอนเล่มบางเล่มหนึ่ง พ็อกเก็ตบุ๊กเบาสมองเล่มหนึ่ง และนวนิยายอีกเล่มหนึ่ง หนังสือคลายเครียดทั้งนั้นแต่ก็บอกรสนิยมคนอ่านด้วยอ่านได้หลายประเภทเหมือนนักอ่านตัวยงมากกว่าคนบ้าแฟชั่น

เขาหยิบนิตยสารเกี่ยวกับรถยนต์และคอมพิวเตอร์สมทบลงไปอีกสองเล่ม พลางพยักพเยิดไปทางหนังสือเล่มใหญ่หนาปกแข็งที่ยังเหลืออยู่ในมือหล่อนอีกเล่ม

“แล้วเล่มนั้นจะเอามั้ยครับ”

“เล่มนี้ไม่รบกวนคุณดีกว่าค่ะ มันแพง”

“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ สีหน้าราบเรียบเมื่อดึงหนังสือเล่มใหญ่ยักษ์นั้นออกจากมือหล่อนอย่างสบายๆ ก่อนจะเดินไปชำระเงิน

อรกานต์ยักไหล่ รู้แล้วน่าว่ารวย! เชอะ!

เข็มนาฬิกาเดินผ่านเลขสิบสองบอกให้รู้ว่าได้ล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว หากชายหนุ่มผิวสีทองแดงจางๆ กลับยังคงนอนตาค้างอยู่บนเตียง เขาหลับไม่ลงเอาเสียจริงๆ หลับตาทีไรก็เห็นแต่วงหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลไหม้ลอยตามมาทุกที ไหนจะดวงตาสีน้ำตาลเข้มหวานซึ้งกับรอยยิ้มน่ารักๆ นั่นอีกเล่า นึกขึ้นมาทีไรก็พานไม่อยากจะหลับ อยากแต่จะลุกขึ้นแล้วบึ่งรถไปหาหล่อนถึงบ้านอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งจะลาจากกันมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี่เอง

ทำไมหล่อนถึงติดอยู่ในใจเขาขนาดนี้ กฤตินถามตัวเองอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าหล่อนน่ะเป็นผู้หญิงประเภทไหน แล้วจิตใจจะคอยกระหวัดไปหาหล่อนทำไมเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ แค่จีบให้ติด คั่วให้ได้แล้วสนุกกันไปเรื่อยๆ เหมือนที่เคยทำก็พอแล้ว ไม่เห็นจะพิเศษกว่าครั้งอื่นๆ ตรงไหนเลยไม่เลยแม้แต่นิดเดียว

หรือจะเป็นเพราะความประทับใจในความไม่เหมือนใครของหล่อน ตั้งแต่เย็นมาแล้ว หล่อนมีอะไรต่ออะไรมาให้เขาแปลกใจหลายเรื่องเสียจนตั้งรับแทบไม่ทัน ไม่เห็นมีอะไรเหมือนข้อมูลที่เคยได้ยินได้ฟังมาสักอย่าง

ผู้หญิงที่แต่งหน้าจัด แฟชั่นลิซึ่มสุดฤทธิ์กลายมาเป็นผู้หญิงที่ไม่แต่งหน้าเลยสักกะติ๊ด แถมยังใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวกับรองเท้าคัชชู ไม่ใช่ชุดกระโปรงเปรี้ยวจี๊ดกับรองเท้าส้นสูงสักหน่อย คนที่คิดว่าจะต้องเอาสถานที่หรูหราแพงระยับมาดึงดูดกลับกลายมาเป็นคนที่เขวกับการเอาภาพยนตร์มาล่อ ดีนะที่เขาเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองจากข้อมูลที่ได้รับเมื่อคืน ถ้าเอาดินเนอร์ใต้แสงเทียนมาเสนอ มีหวังคงถูกปฏิเสธเด็ดขาดชัวร์

และจากข้อมูลที่ได้รับมา คนอย่างธีร์วรา ภคภัทราไม่น่าจะอ่านหนังสืออะไรเป็น นอกจากนิตยสารแฟชั่น แต่ผู้หญิงทะมัดทะแมง (ทะมัดทะแมงนะ ไม่ใช่มาดนางพญา) คนนี้มีประกายตาวาววับ ยามเดินเข้าไปในร้านหนังสือการ์ตูน ยืนเลือกหนังสืออย่างชำนาญการ กลมกลืนไปกับเด็กมัธยมคนที่ยืนข้างๆ ท่าทางเหมือนมือเก๋าที่ร้างลาวงการไปนานกำลังดีใจที่จะได้รับกลับสู่ยุทธภพอีกครั้ง

แล้วไหนจะเรื่องการใช้เวลาในร้านหนังสืออย่างสบายใจเฉิบอีก เขาค่อนข้างมั่นใจเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงอย่างหล่อนคงจะต้องโปรดปรานการช็อปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือเครื่องประดับแน่ๆ ที่ไหนได้ หล่อนเดินผ่านแผนกต่างๆ เหล่านั้นอย่างไม่สนใจไยดีเลยสักนิด พอใจที่จะเข้าร้านหนังสือ เดินชมแกลลอรี่ และเข้าร้านขายซีดีมากกว่า

คิดถึงกิริยาของหล่อนในร้านหนังสือ หล่อนเดินสำรวจซะทั่วร้าน หยิบเล่มที่น่าสนใจมาพลิกดู พลิกอ่าน หรือที่เรียกกันว่า ‘ชิมหนังสือ’ อย่างไม่มีท่าทีเก้อเขิน ดูท่าว่าหล่อนออกจะเป็นหนอนหนังสือพันธุ์แท้เลยด้วยซ้ำ รู้ได้ไงน่ะหรือ ก็เพราะทั้งเขาและพี่สาวก็มีอาการเหมือนหล่อนนี่แหละเวลาเข้าร้านหนังสือ และจากที่เขาเห็น หล่อนเดินอ่านเดินชิมไปทั่ว ทั้งนิตยสาร สารคดี จิตวิทยา หรือกระทั่งตำราทำอาหาร ก่อนจะมาจบลงด้วยหนังสืออ่านเล่นสี่เล่มนั้น แถมเซอร์ไพรส์เขาด้วยตำรา ‘Modern & Contemporary Arts’ ปกแข็งเล่มใหญ่ราคากว่าพันบาท!

ไหนจะตอนทานข้าวอีก แรกๆ เขาก็ยังหวั่นๆ อยู่ว่าจะพบกับผู้หญิงมาดเฉียบเนี้ยบ ผู้รับประทานแค่สลัดหรือซุปเป็นอาหารเย็น แต่กลับพบผู้หญิงที่ทำตัวสบายๆ บ่นยุกยิกนิดหน่อยเรื่องอดดูหนัง สั่งอาหารจานเดียวง่ายๆ กับน้ำผลไม้ปั่น แล้วก็สนทนากับเขาด้วยเรื่องทั่วๆ ไป หล่อนเป็นคู่คุยที่ถูกคอพอสมควรเสียด้วยสิ มีความรู้รอบตัวกว้างขวางเอาการ ไม่ใช่พวกที่ดีแต่สวย แล้วไร้สาระไปวันๆ

หล่อนมีท่าทางเป็นมิตร มีรอยยิ้มจริงใจ เป็นคู่สนทนาที่ดี หากก็แค่นั้น ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทอดสะพานให้เขาหรือจะเดินข้ามมายังสะพานที่เขาทอดเอาไว้เลย ท่าทีของหล่อนนั้นกำหนดขีดคำว่า ‘เพื่อน’ ไว้อย่างชัดเจน และจะไม่ยอมให้เขาฝ่าไปไกลกว่านั้นได้ง่ายๆ

ที่ทินกรมันเล่ามา ใช่ธีร์วราคนนี้แน่นะ

ทำไมสิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ได้ยินมาไม่เห็นมีอะไรตรงกันสักอย่าง เขาตีความข้อมูลผิดพลาด คาดการณ์ผิดพลาด หรือข้อมูลมันผิดพลาดมาแต่แรกแล้วล่ะเนี่ย

หรือว่านี่จะเป็นแผนการรุกเงียบของหล่อน กลยุทธ์ที่หล่อนใช้กับชายแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไป หล่อนถึงทำให้เขาแปลกใจซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดหัวค่ำที่ผ่านมา ถ้าเป็นกลยุทธ์จริงก็จัดว่าหล่อนเป็นคู่ต่อสู้ที่เหนือชั้นทีเดียว หล่อนทำให้เขากลับมานอนกระสับกระส่ายคิดถึงหล่อนได้ขนาดนี้ แล้วนี่เขาทำให้หล่อนคิดถึงเขาได้บ้างหรือเปล่าหนอ

ตอนที่ 3

“ฮัลโหล” กฤตินกรอกเสียงลงไปในปากกระบอกโทรศัพท์ ในขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ้วชี้และนิ้วกลางยังคีบปากกาลูกลื่นอยู่

“ไงวะไอ้กริช คุณไทร่าไปเชียงใหม่อาทิตย์นึง เหงามั้ยเพื่อน”

“ยุ่ง” คนเป็นเพื่อนกรอกเสียงห้วนๆ ใส่โทรศัพท์ ถลึงตาใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะเลิกสนใจกับข้อความและตัวเลขบนจอโดยสิ้นเชิง

“อะไรวะ ถามดีๆ แท้ๆ”

ปากว่าอย่างนั้นแต่น้ำเสียงช่างกวนอารมณ์คนที่ขุ่นมัวอยู่แล้วให้ขุ่นยิ่งขึ้นไปอีก “ว่างมากหรือไงไอ้ทิน ถ้าจะโทรมากวนประสาท โน่น…โทรไปหาคุณไก่โน่น ไม่ต้องให้เค้าต่อสายเข้ามาในห้องฉัน”

“ไอ้บ้า ฉันเป็นเพื่อนแกนะโว้ย ไม่ใช่เพื่อนพี่แก จะโอนสายเข้าห้องพี่ไก่ทำเบื้ออะไรล่ะ ดุอย่างกับเสือ”

“แล้วมีธุระอะไร รีบๆ พูดมา อารมณ์กำลังไม่ดี อย่ามากวนประสาท”

“โถๆ ไอ้เพื่อนยาก ไม่เห็นหน้าน้องนาง อารมณ์พี่เลยพานไม่ดีเหรอวะ”

“ไอ้ทิน!” กฤตินตวาดใส่โทรศัพท์ โยนปากกาในมือทิ้งลงบนโต๊ะอย่างหัวเสีย

“ใจเย็นโว้ย! ใจเย็น ล้อเล่นน่า” อีกฝ่ายพยายามปลอบ

“มีอะไร”

“ก็ลองโทรหาดู เห็นว่าคุณไทร่าไม่อยู่หนึ่งอาทิตย์ ไม่รู้ว่าแกตามไปด้วยรึเปล่า”

จะตามไปด้วยยังไงล่ะ หล่อนจะไปเมื่อไหร่ไม่เห็นบอกเขาสักคำ เมื่อวานไม่ได้โทรไปหาหล่อนแค่วันเดียว วันนี้เลขาฯ ของหล่อนบอกว่าหล่อนอยู่เชียงใหม่แล้ว

“แล้วแกรู้ได้ยังไง ว่าไทร่าไม่อยู่หนึ่งอาทิตย์” เขายังคิดว่าหล่อนอาจจะไปแค่สองสามวันเสียอีกให้ตายหล่อนไม่ได้บอกอะไรเขาเลย!

“ข่าวว้อย ข่าว อย่ามาดูถูกสื่อมวลชนอย่างฉัน ถึงแม้จะเขียนให้เดอะไทยส์แค่คอลัมน์เดียว แต่ฉันก็รู้ข่าวดีๆ ประดับบารมีบ้างก็แล้วกัน”

“เค้าไปเรื่องงาน” กฤตินตอบกลับไปเรียบๆ เขารู้แค่นี้ ทินกรคงจะรู้มากกว่านี้ แต่จะถามออกไปตรงๆ ก็ไม่ได้ เสียฟอร์มอย่างสูง แค่ทินกรรู้ว่าเขายังไม่มีอะไรกับหล่อนมากไปกว่าการจับมือ แค่นี้ก็โดนทับถมมากพออยู่แล้ว

“ฮื่อ งานแซยิดครบห้ารอบของพ่อเลี้ยงเปรมปรีดิ์ แขกดับเบิ้ลซูเปอร์ วี.ไอ.พี. ของ

พรหมภัทราเค้า เวลามีแขกไปใครมา งานสัมมนา งานเลี้ยงใหญ่ เลี้ยงเล็ก พ่อเลี้ยงแกใช้บริการที่โรงแรมนี้ที่เดียว ซี้ปึ้กกับคุณสาริศ งานนี้คุณสาริศเลยควงหลานสาวสุดสวยไปด้วย คงหวังจะให้ซี้ปึ้กกันต่อไปทั้งรุ่นลูกรุ่นหลานล่ะมั้ง เห็นว่าลูกชายพ่อเลี้ยงคนเล็กน่ะ ด็อกเตอร์หนุ่มโสด สดๆ ซิงๆ เพิ่งกลับจากอเมริกาเชียวนะ”

“หา! แกว่าไงนะ”

“เค้าบอกแกว่าไปทำงานเฉยๆ ล่ะซี่” ทินกรทำเสียงเห็นอกเห็นใจ นี่ถ้ารู้ว่าไทร่าไม่ได้บอกอะไรเขาเลย ไอ้เพื่อนคนนี้มันคงทำเสียงเยาะเย้ยมากกว่า

“ไอ้กริชเอ๊ย สงสัยเสน่ห์ชวนหลงใหล ทรมานใจสาวของแกคงเริ่มตกแล้วมั้ง รายนี้ไม่น่ายาก แกดันใช้เวลาตั้งนาน ผิดคาดหมด”

กฤตินกัดฟันกรอดใส่โทรศัพท์

“เอาวะ ยังไงไหนๆ วันนี้แกคงว่าง ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยมั้ยเพื่อน จะดื่มอย่างเดียวหรือจะออกกำลังด้วยก็ได้”

“ไม่ไปโว้ย ไม่มีอารมณ์”

เขาไม่มีอารมณ์เอาจริงๆ นึกถึงผู้หญิงทีไรเป็นได้มีภาพสตรีร่างบางสูงโปร่งระหง ดวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา พร้อมเรือนผมสีน้ำตาลไหม้หนานุ่มยาวถึงกลางหลังผุดขึ้นมาทุกที

“เถอะน่า แป๊บเดียวก็ได้ แค่ดริ๊งก์กรึ๊บสองกรึ๊บ แก้เซ็ง”

“ขอบใจที่ชวน แต่ไม่ไปว่ะ ฉันอยากกลับบ้านนอนมากกว่า”

“เออๆ ตามใจแก เดี๋ยวฉันจะส่ง E-mail เกมคิงคองอาละวาดไปให้แล้วกัน คืนนี้แกจะได้มีอะไรเล่นแก้เซ็ง”

“อืม ขอบใจ บาย”

“บาย”

วางหูโทรศัพท์แล้ว กฤตินถอนใจยาว

สามเดือนแล้วนะนี่ ที่เขาใช้เวลาอยู่กับผู้หญิงคนนี้คนเดียว คนเดียว! แล้วยังไม่มีอะไรเกินเลยอีก! หล่อนยังคงรักษาความเป็นเพื่อนไว้อย่างเหนียวแน่น รุกแค่ไหน งัดเทคนิคใดๆ มาใช้ก็ได้อย่างมากแค่จับมือกับรอยยิ้มหวานหยดเท่านั้น

เขาไม่เคยอดทนกับใครเกินหนึ่งเดือน แต่นี่สามเดือนเข้าไปแล้ว เฮ้อ!

ทำไมไอ้พวกนั้นมันได้กันทุกคนแล้วเขาไม่ได้ ทินกรน่ะไม่นับ หมอนี่มันหล่อเอาการ แถมคารมก็ใช่ย่อย แต่คนอื่นๆ ล่ะ เขาว่าเขาไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ดูๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าพวกเพื่อนเก่าสี่ห้าคนนั้น ไม่ว่าจะโดยรูปลักษณ์หรือฐานะก็ตาม

หรือว่าเสน่ห์ของเขามันลดลงแล้วจริงๆ งานนี้งานเดียวทำให้ความมั่นใจในตัวเขาเหือดลงเยอะ การมีแต่ผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้ามาหาและไม่ค่อยได้รับการปฏิเสธจากใครในอดีตไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย

หรือว่าตัวเขาน่ะไม่มีปัญหาอะไร แต่ข้อมูลของทินกรต่างหากที่งี่เง่า ไอ้เพื่อนกวนทีนนี่มันแกล้งหลอกให้เขาทำอะไรยากๆ หรือเปล่า

สามเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เห็นเคยพบผู้หญิงรักสนุก sexy naughty bitchy เลย เจอแต่สาวออฟฟิศ สุภาพ อ่อนหวาน เป็นมิตร และหัวโบราณอย่างกับนางในวรรณคดี

หล่อนปฏิเสธการจับมือถือแขนในที่สาธารณะ หลีกเลี่ยงการแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่จำเป็น ไม่มีการอยู่ในที่รโหฐานกันสองต่อสองนานเกินสมควร และไม่มีการกลับถึงบ้านหลังสี่ทุ่มเด็ดขาด

หล่อนแต่งกายสุภาพทุกวัน ไม่สูทกางเกง ก็สูทกระโปรง หรือไม่ก็เสื้อแขนยาวสีเรียบๆ กับกางเกงขายาวหรือกระโปรงยาวพอดีเข่า ที่เห็นบ่อยที่สุดคงเป็นชุดสูทกางเกงสีขาว คุณเธอเล่นมีทั้งสีขาวนวลตา สีงาช้าง สีขาวอมตะกั่ว และสูทผ้าซาตินสีขาววาววับ ดูเรียบร้อย ทว่าหรูคลาสสิก วันหยุดก็นุ่งยีนเป็นกิจวัตร ขนาดนัดกันที่ห้องอาหารฝรั่งเศสของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง เขาหวังจะได้เห็นหล่อนในชุดเดรสสุดเซ็กซี่ กลับได้เห็นธีร์วราในชุดเสื้อยืดคอปาดสีครีม (ดูหวานกว่าทุกวันด้วยลายดอกไม้สีชมพูที่อยู่บนเสื้อกับสร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปผีเสื้อส่องประกายวิบวับ) กับ…เอ่อ…กางเกงยีน นั่นล่ะ เขาถึงได้ข้อสรุปว่าอย่าหวังจะได้เห็นกระโปรงบนเรือนร่างนั้นในวันหยุดเด็ดขาด และไม่ต้องฝันถึงกระโปรงสั้นเหนือเข่าเลยด้วย เพราะไอ้แค่พอดีเข่ายังไม่ค่อยจะเห็นบ่อยเท่าไหร่นัก

นอกจากนี้นะ วันไหนที่วงหน้าขาวนวลเกลี้ยงเกลาตามธรรมชาติ เรือนผมถูกมัดหลวมๆ ไว้ด้านหลัง แปลได้ว่าวันนั้นหล่อนตื่นสาย ชัวร์ป้าบ ไม่ต้องสงสัยใดๆ อีกต่อไป

นี่เขาหลงตามผู้หญิงยุค 60’s มาได้ยังไงตั้งนาน

ไหนทินกรว่าเปลือกนอกเปรี้ยวจี๊ด เนื้อในหอมหวานกลมกล่อม มันไปได้ชิมอีท่าไหน ผู้หญิงบุคลิกคุณครูเนี่ยนะ

ไม่ใครก็ใครคงเข้าใจผิดกันสักคนแล้วมั้งโอ๊ยงง

ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าไอ้การเปรียบเทียบอรกานต์กับนางในวรรณคดีนั้นไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว นิลยาเองก็เคยบ่นมาแล้ว ต่อหน้าเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ

‘แกนี่มันหัวโบราณชะมัด เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้อย่างกับนางในวรรณคดี มันไม่เข้ากับไอ้มาดเซอร์ขาลุยพร้อมท้าตีท้าต่อยอย่างแกเอาซะเลย ให้ตายเถอะ’

‘ทำไม ประหลาดตรงไหน’ ‘ไอ้มาดเซอร์ขาลุย’ ย้อน ‘พ่อฉันเป็นวิศวกรใหญ่นะยะ มาดแมน พร้อมลุย เท่สุดๆ ส่วนแม่ฉันก็เป็นอาจารย์สอนวรรณคดี สอนไปสอนมา ไอ้ตัวนางในวรรณคดีมันคงหลุดๆ มาอยู่ในหัวลูกสาวบ้างล่ะมั้ง นี่ล่ะ ที่เค้าเรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นล่ะ ใกล้ทั้งต้นพ่อ ใกล้ทั้งต้นแม่’

สาวตาคมจึงได้แต่มองหน้าเพื่อนอย่างหมั่นไส้ด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม

แต่กฤตินที่ไม่ทราบความจริงข้อนี้ เขาจึงยิ่งงง ยิ่งสงสัย สุดท้ายก็หงุดหงิด โมโห

เขาควรจะปล่อยเหยื่อรายนี้ได้แล้ว นี่มันนานเกินกว่าที่เขาจะอดทนรอ แต่อะไรบางอย่าง

ในใจกลับค้านไว้ ทินกรมันคงได้เย้ยตายเลย แล้วไหนจะไอ้ด็อกเตอร์ลูกพ่อเลี้ยงอะไรนั่นที่เชียงใหม่อีก จู่ๆ ก็โผล่มา ถ้าหล่อนคิดจะมาเล่นๆ กับเขาสักสองสามเดือน ก่อนจะโผวิ่งเข้าซบอกไอ้ด็อกเตอร์นั่นล่ะก็ ขอบอกได้เลยว่ามันหยามกันเกินไป เขาไม่มีวันยอมง่ายๆ แน่

มีบ้างเหมือนกันที่ภายในใจของเขารับรู้ว่า ที่เขาไม่ยอมรามือจากหล่อนก็เพราะเขาไม่อยากรามือ ยังคงติดต่อกับหล่อนเพราะใจเขาปรารถนาที่จะทำ ยังอยากใกล้ชิดกับหล่อนเพราะมันคือความสุขของเขา หากชายหนุ่มรีบปัดความคิดนี้ออกไปจากใจ เรื่องอะไรเขาจะต้องไปให้ความสำคัญกับหล่อนนัก ก็แค่ผู้หญิงรักสนุกคนหนึ่ง แล้วที่เขายังนำพาตัวเองไปใกล้ชิดสนิทสนมด้วย ก็แค่เพื่อรักษาหน้ารักษาเชิงของเขาเอาไว้เท่านั้นแหละ

หญิงสาวผมยาวกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้องทำงาน ขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นและร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในวินาทีถัดมา

“สวัสดีค่ะ คุณกริช” เสียงทักทายนั้นสดใส มาพร้อมรอยยิ้มจริงใจ

กฤตินทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้าบึ้งตึง “ไหนว่าจะไปอาทิตย์นึง ปาเข้าไปตั้งสิบวัน”

“ใครบอกคุณคะว่าฉันจะไปอาทิตย์นึง”

เวรแล้วไง ไอ้ทินกรตัวแสบ

“ก็คุณไม่บอกอะไรเลย ผมก็ถามคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แล้วก็สรุปออกมาอย่างนี้แหละ” เสียงห้าวๆ ตอบอย่างกระแทกกระทั้น

“สงสัยคุณนกคงบอกคุณไปว่าฉันจองห้องพักไว้หกคืนแหงเลย แต่ก็นั่นแหละ อะไรๆ มันก็ไม่เป็นไปตามแผน”

“แผนอะไร”

“ฉันกะจะไปงานเลี้ยงกับอาสาริศแค่วันเดียว แต่คุณอาบอกให้ฉันอยู่ดูงานที่เชียงใหม่ก่อน ศึกษาระบบ ศึกษาแผนงานต่างๆ เอาไว้ ดูว่ามันต่างจากในกรุงเทพฯ ยังไง จะได้รู้งานกว้างขึ้น ก็ว่าจะอยู่ดูงานอาทิตย์นึง แต่พอดีฉันสมองไม่ค่อยไว เรียนรู้ช้า เลยต้องอยู่ต่ออีกสองสามวัน”

ใบหน้าคมเข้มยังคงบึ้งตึงดังเดิม “คุณนึกจะไปก็ไป ไม่เห็นบอกผมเลยสักคำ เหมือนกับที่วันดีคืนดี คุณก็หนีไปนอนที่หัวหินซะเฉยๆ อย่างนั้นแหละ มือถือก็ไม่ได้เอาไป ถามอะไรกับเลขาฯ คุณกับหนูแดงของคุณนั่นก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ผมโมโหจริงๆ นะไทร่า คุณทำเหมือนผมไม่มีความหมายอะไรเลย”

“ฉันลืมมือถือไว้ที่บ้าน แต่ฉันก็โทรหาคุณแล้วนะคะ”

“แค่สองครั้งเอง”

“แล้วคุณจะให้โทรทุกวันเลยเหรอ”

“ใช่” คนตอบยังคงกระแทกเสียงตอบ หากสีหน้าแววตาเหมือนเด็กถูกขัดใจ คมเข้มแต่น่ารัก

อรกานต์ยิ้มหวาน พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “คุณงอนแล้วไม่หล่อเลยคุณกริช ยิ้มหน่อยดีกว่าน่า ฉันมีของฝากมาด้วยนะ”

ว่าแล้วหล่อนก็หยิบกล่องกระดาษใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ

อีกฝ่ายมีสีหน้าดีขึ้นนิดหนึ่ง ถามเสียงทีเล่นทีจริง “เปลี่ยนจากของฝากเป็นอย่างอื่นได้มั้ย”

“อะไรคะ”

“คุณ”

“ฉัน?” อรกานต์ถามย้ำ สีหน้างุนงงสงสัย

“ก็คุณไง” ชายหนุ่มพูดช้าๆ เสียงทุ้มนุ่มเชิญชวนน่าฟัง

“ไปดินเนอร์กันเย็นนี้ แล้วต่อกันที่คอนโดฯ ผม ค้างกับผมสักคืนให้ชื่นใจหายคิดถึงหน่อย ให้สมกับที่ไม่ได้เห็นหน้าคุณตั้งหลายวัน”

“คุณกริช…” หญิงสาวครางเสียงแผ่ว ใบหน้าแดงก่ำก่อนกลับมาซีดเผือด นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง

“นะไทร่า เราคบกันตั้งหลายเดือนแล้ว”

“คะ…แค่…สามเดือนเองนะคะ”

“ตั้งสามเดือนต่างหาก กับคนอื่น คุณใช้เวลาไม่ถึงสามวันเลยด้วยซ้ำ”

“กับคนอื่น?” อรกานต์เลิกคิ้วถาม

“ใช่ กับคนอื่นๆ น่ะ คุณง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง ไม่เห็นระเบียบจัดเหมือนที่ทำกับผมเลย”

“กับคนอื่นไหน” น้ำเสียงของหล่อนเข้มขึ้น อารมณ์ก็ชักเริ่มกรุ่นขึ้นมาเช่นกัน

“อย่าถามผมเลยว่าคนอื่นคนไหน คุณก็รู้ๆ อยู่ เอาเป็นว่าผมรู้ก็แล้วกัน”

อรกานต์นับหนึ่งถึงสิบในใจ ตั้งสมาธิไว้ มองตรงไปยังภาพดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่บนผนังเพื่อกั้นไม่ให้น้ำตาเอ่อท้น

ทำไมหล่อนไม่เชื่อสัญชาตญาณของตัวเองแต่แรกนะ ทฤษฎีของหล่อนนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ชายเพียบพร้อมขนาดนี้ เพลย์บอยชัดๆ ยังจะโง่เง่าหลงคารม หลงไว้วางใจ เผลอใจไปให้เขาทำไมตั้งมากมาย ความสุภาพและการเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ที่เขามีให้อย่างสม่ำเสมอ เขาก็แค่หวังในเรือนกายของหล่อนเท่านั้น ทำไมหล่อนถึงได้โง่อย่างนี้

“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะคุณกริช ฉันขอยืนยันคำเดิม กลับบ้านไม่เกินสี่ทุ่ม ไม่งั้นก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“ผมไม่เข้าใจคุณจริงๆ ผมด้อยกว่าพวกนั้นตรงไหน ผมน่ารังเกียจตรงไหน ผมจริงใจกว่าด้วยซ้ำ ผมห่วงคุณจริงๆ คิดถึงคุณจริงๆ นะ”

“ความห่วงใย ความเอาใจใส่ และความคิดถึงของคุณ ฉันขอรับไว้ ขอบคุณค่ะ”

“ให้ตายเถอะ อย่าว่าแต่เวลาสามเดือนกับการเอาใจใส่ทั้งหมดเลย บางคนลงทุนแค่กาแฟแก้วเดียวเองด้วยซ้ำ คุณยังโอเคง่ายๆ”

“คุณกริช!” อรกานต์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า น้ำตาพานจะเอ่อคลอขึ้นมาให้ได้ รู้สึกโมโหตัวเองที่โง่ และโกรธความมักง่ายใจง่ายของเจ้าของร่างขึ้นมาจับใจ

“มันจะมากไปแล้วนะคะ คุณไม่ให้เกียรติฉันเลย”

“ผมให้เกียรติคุณมาตลอดนะ ผมรอให้เราคุ้นเคยกันก่อน ผมรอให้คุณพร้อม แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะพร้อมเสียที”

“เมื่อไหร่ฉันก็ไม่พร้อมทั้งนั้นแหละ ไม่มีทาง” อรกานต์ตะคอก แววตาเรืองรองด้วยความโกรธ

ฝ่ายตรงข้ามส่งสายตาสว่างวาบ คมกล้าไม่แพ้กัน ราวกับมีประจุไฟฟ้าปะทะกันกลางอากาศ

“ทำไมคนอื่นได้ แล้วผมไม่ได้” คนถามถามเรียบๆ แต่คนฟังเจ็บแปลบ ผิวหน้าชาสะท้าน ทั้งโกรธ ทั้งอับอายจนกำหมัดแน่น กัดริมฝีปากล่างจนเจ็บ น้ำตาซึ่งกักกดเก็บไว้ภายในมานานเริ่มคลอคลอง

ทำไมคนอื่นได้น่ะเหรอ ไปถามธีร์วราสิ หล่อนจะไปรู้ได้ยังไง รู้แต่ว่าตอนนี้ร่างนี้เป็นของหล่อน และหล่อนไม่ให้ ไม่ให้เด็ดขาด!

“คุณเข้ามาทำความรู้จักกับฉัน สนิทสนมกับฉัน ก็เพราะไอ้เรื่องใต้สะดือพรรค์นี้เองน่ะเหรอ” หญิงสาวถามเสียงเย็นโดยที่ยังไม่ละสายตาจากภาพวาดบนกำแพง

“ตอบคำถามผมก่อนไทร่า”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องตอบ ฉันทำทุกอย่างตามความพอใจของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“ใช่สิ ความพอใจของคุณ กับลูกชายพ่อเลี้ยงเปรมปรีดิ์ไปถึงไหนแล้วล่ะ”

อรกานต์ผงะ น้ำตาซึ่งคลออยู่ในเบ้าไหลลงอาบสองแก้ม เม้มริมฝีปากแน่นสกัดกั้นมิให้มีเสียงสะอื้นลอดออกมา เบือนหน้าหนี หันหลังให้กฤตินโดยสิ้นเชิง และหลังจากปาดน้ำตาแล้ว หล่อนก็หันกลับมาด้วยดวงตาวาวโรจน์ เปลี่ยนความเสียใจและความน้อยใจให้กลายเป็นความโกรธถึงขีดสุด

“ทุเรศที่สุด สมองของคุณหล่นลงไปอยู่หว่างขาหรือไง ถึงได้มีปัญญาคิดอยู่แค่นี้ คุณสนใจแต่สิ่งที่คนอื่นได้แต่คุณไม่ได้ คุณเคยสนใจสิ่งที่คุณได้ แล้วพวกนั้นไม่ได้บ้างมั้ย”

กฤตินโกรธจนหน้าแดงเมื่อได้ยินคำกล่าวถึงตำแหน่งสมองของเขา พยายามข่มอารมณ์ถามกลับเสียงลอดไรฟัน “อะไรล่ะที่ผมได้ แล้วพวกนั้นไม่ได้ มีใครตามคุณถึงสามเดือน มีใครพาคุณไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง ซื้อเสื้อผ้า ซื้อหนังสือได้นานขนาดนี้”

“แล้วใครใช้ให้ตาม ใครใช้ให้คุณซื้อ”

กฤตินถลึงตาใส่คนยอกย้อน ขบฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน

“จะบอกให้นะ ฉันไม่เคยโทรศัพท์หาผู้ชายคนไหน แต่ฉันโทรหาคุณสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย บางครั้งไม่มีเรื่องคุยด้วยซ้ำ แค่บอกกู๊ดไนต์เฉยๆ ก็ยังโทร ฉันไม่เคยสนใจหรือใส่ใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น แต่ก็ดันจำได้ว่าคุณดื่มกาแฟแบบไหน ต้องใส่กาแฟเท่าไหร่ ใส่นมใส่น้ำตาลเท่าไหร่ ส่วนชา ต้องเป็นชาอะไร เกรดไหน ไวน์อีก ไวน์อะไร จากประเทศอะไร ปีอะไร จำได้กระทั่งว่าคุณชอบสีอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน ดูหนังแบบไหน อ่านหนังสือประเภทไหน ฉันไม่เคยรอโทรศัพท์ใครแต่ฉันคอยโทรศัพท์คุณ ฉันไม่เคยรอใครแต่ฉันเต็มใจนั่งอยู่ในห้องนี้ คอยคุณมารับ” อรกานต์หยุดหอบหายใจ ก่อนจะพูดรัวต่อด้วยความโมโห

“นี่คือสิ่งที่คุณได้ แต่พวกบ้านั่นไม่ได้! แต่มันไม่มีความหมายอะไรกับคุณเลย! เพราะฉะนั้นนะ ต่อไปนี้คุณไม่ต้องมาอดทนทำดี ตีสนิท หรือมาคอยห่วงใยเอาใจใส่ฉันให้เมื่อยอีกแล้ว รับรู้ไว้เลยคำเดียวง่ายๆ ฉันปฏิเสธ ในเมื่อคุณไม่พอใจในสิ่งที่ฉันให้ก็ไม่ต้องมาคบมารู้จักกันอีกแล้ว จบกันตรงนี้เลย ยังไงๆ ฉันก็ให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้!”

“ให้ไม่ได้ หรือคุณไม่ให้”

“ทั้งสองอย่าง คุณคิดว่าฉันไปสวิสฯ ทำไม ฉันตั้งใจเรียนให้จบ ตั้งใจศึกษางานอย่างดีทำไม คุณรู้มั้ยว่า ตั้งแต่วินาทีที่ฉันก้าวเท้าขึ้นเครื่องบิน ฉันก็ตัดสินใจทิ้งชีวิตเก่าๆ ไว้เบื้องหลัง ทิ้งชีวิตเหลวไหลไร้สาระ ทิ้งเพื่อนๆ ประเภทปลิงดูดเลือดทั้งหลาย และฉันก็คิดว่าฉันทำได้ ฉันเรียนจบกลับมาและหวังจะเริ่มชีวิตใหม่”

คนพูดมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แฝงแววตัดพ้อ “แต่คุณ…คุณก็ยังมองฉันเป็นผู้หญิงงี่เง่าคนเดิม คุณยังคิดว่าฉันพร้อมจะกระโจนขึ้นเตียงกับคุณหลังจากกาแฟแก้วเดียว คุณมองว่าฉันง่ายขนาดนั้น…กรุณานะคะ กรุณาช่วยพิจารณาตัดสินฉันจากตัวตนที่คุณรู้จัก ไม่ใช่ที่เพื่อนคุณรู้จัก ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณได้ยินอะไรมาจากปากของเพื่อนคุณกี่คน แต่บอกได้คำเดียวว่า ฉัน…คนที่คุณรู้จักกับคนที่เพื่อนของคุณรู้จักนั้นเป็นคนละคนกัน กรุณาช่วยจำเอาไว้ด้วย”

จากนั้นหล่อนก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาโต้แย้งใดๆ ยื่นนิ้วเรียวขาวกดเครื่องอินเตอร์คอมแล้วกรอกเสียงดังฟังชัดลงไป “คุณนกคะ รบกวนช่วยมารับบัตรจอดรถของคุณกริชไปแสตมป์ให้หน่อยค่ะ”

เจอไล่ซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ กฤตินขบฟันแน่น หมุนตัวขวับ ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปทันที

กฤติน ธนวัฒน์เดินดุ่มเข้าโรงแรมพรหมภัทราด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เพราะเขากลับไปนั่งคิด นอนคิด กรองคำพูดของหล่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก ตีความทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะท่อนที่บอกว่า ‘ฉัน…คนที่คุณรู้จักกับคนที่เพื่อนคุณรู้จักนั้นเป็นคนละคนกัน’ แล้วเห็นจริงดังคำกล่าวนั้นแท้ๆ เขาจึงเพียรโทรหาและมาคอยพบหล่อนตลอดสามวันที่ผ่านมา ผลปรากฏว่าหล่อนหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับโทรศัพท์และปฏิเสธที่จะพบปะพูดคุยกับเขา หลบหน้าเขาอยู่ตลอดเวลา ให้มันได้อย่างนี้สิ!

“ผมมาพบไทร่าครับ”

คุณรัชนก เลขาฯ หน้าห้องยิ้มทักทายเขา ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ใส่เครื่องอินเตอร์คอมพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“คุณไทร่าคะ คุณกฤตินมาขอพบค่ะ”

“คุณนกช่วยเรียนคุณกริชด้วยนะคะว่า ฉันไม่ว่าง งานยุ่ง มีธุระอะไรก็ฝากเรื่องไว้กับคุณนกได้”

ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ อย่างพยายามควบคุมอารมณ์ หลังจากได้ยินประโยคนี้มาวันละสองเวลาถึงสามวันติดกัน ทำให้เขาคิดว่าฟิวส์คงขาดแน่ในวันที่สี่นี่ล่ะ

นิ้วเรียวยาวถือวิสาสะกดเครื่องอินเตอร์คอม พร้อมกรอกเสียงห้าวต่ำ คุกคาม “เปิดประตูเดี๋ยวนี้ไทร่า ถ้าคุณไม่อยากให้คนทั้งโรงแรมเค้ารู้กันหมดว่าเราทะเลาะกัน”

“คุณจะทำอะไร กลับไปเดี๋ยวนี้นะ” น้ำเสียงฉุนเฉียวจากปลายสายตอบกลับมาทันควัน

“ถ้าคุณไม่เปิดประตู คุณจะได้รู้แน่ว่าผมจะทำอะไร แล้วอย่ามาหาว่าผมไม่เตือน” เขายังคงรักษาระดับเสียงเดิมไว้ พยายามซ่อนความเกรี้ยวกราดที่เพิ่มขึ้น

อีกฝ่ายเงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“ไทร่า…” กฤตินลองเรียกขาน

“ฉันเปิดประตูแล้ว” น้ำเสียงบูดๆ ตะคอกตอบกลับมา

กฤตินหันไปก้มศีรษะเล็กน้อยให้คุณเลขาฯ ผู้สูงวัยกว่า ก่อนจะตรงเข้าไปในห้องทำงานของหญิงสาว

ผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานลายไม้สไตล์โมเดิร์นกำลังมองมาด้วยนัยน์ตาวาววับ โกรธจัดจนแทบจะเห็นควันกรุ่นกระจายอยู่รอบตัว

“ฉันว่าฉันพูดไปชัดเจนแล้วนะ เราจบกันไปแล้ว ไม่ต้องมาทำความรู้จัก ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องอะไรกันอีก เพราะฉะนั้น เชิญ! มาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น”

“มันจะมากไปแล้วนะไทร่า จบบ้าจบบออะไรกัน คุณจบของคุณคนเดียว คุณพูดของคุณคนเดียว ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

“แล้วคุณจะมาพูดอะไรล่ะคะ รีบๆ พูดเข้าสิ ฉันมีเวลาไม่มาก”

อรกานต์เหลือบมองสันกรามเครียดเกร็งสลับกับดวงตาที่แผดกล้าดั่งมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่แล้วก็พอจะทราบได้ว่าขณะนี้เขาอยู่ในอารมณ์ไหน กระนั้นหล่อนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็เขาโกรธเป็นคนเดียวซะเมื่อไหร่ล่ะ

เมื่อกฤตินยังคงยืนทำท่าอยากจะบีบคอหล่อนอยู่อย่างนั้น อรกานต์จึงเริ่มเปิดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ ตั้งท่าอ่านอย่างใจเย็น

“นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาอ่านเอกสารอะไรนะ เงยหน้าขึ้นมาคุยกันก่อน”

“พูดมาสิคะ ฉันอ่านไปคุยไปได้”

“ผมต้องการให้เราคุยกันดีๆ”

“ฉันก็ยังไม่ได้พูดคำหยาบอะไร พูดดีทุกคำ”

หล่อนยังไม่เงยหน้าจากเอกสาร ในขณะที่เขาเริ่มหมดความอดทน

“ฟังนะไทร่า วันนั้นผมกลับไปคิดตามคำพูดของคุณทุกคำ และพิจารณาคุณ…คนที่ผมรู้จัก แล้วผมก็ตัดสินใจที่จะขอโทษคุณ ขอคืนดีกับคุณ แต่ก็มาเจอคุณกวนประสาทผมตลอดเวลาถึงสามวันซ้อน ไม่ว่าจะทางโทรศัพท์หรือทางเครื่องอินเตอร์คอม”

“แล้วไง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ พลิกดูเอกสารหน้าถัดไปอย่างใจเย็น

บุตรชายคนเล็กของคุณฐิติ ธนวัฒน์ ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนเทวดาประจำบ้านมาแต่เล็ก ผู้ซึ่งไม่เคยพบพานกับการปฏิเสธจากผู้หญิงคนไหน ผู้ซึ่งไม่เคยต้องอดทนอดกลั้นกับใคร กำลังหมดทั้งความอดทนและความอดกลั้นกับผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เขาสนใจจริงจัง

“พอกันทีไทร่า ผมตั้งใจจะมาคุยกับคุณ ปรับความเข้าใจกับคุณ แต่ในเมื่อคุณไม่คุยกับผม ก็โอเค ไม่เป็นไร ผมกลับก่อนก็ได้ แต่คราวหน้า…” กฤตินเน้นเสียงที่คำว่า ‘คราวหน้า’ อย่างหนักแน่น “คราวหน้าคุณจะต้องเป็นฝ่ายวิ่งแจ้นไปคุยกับผมถึงที่ คอยดู”

“ไม่มีวัน” อรกานต์ตอบกลับเสียงเข้ม แววตาเรืองรอง

“ก็คอยดูไปสิ ผมไม่มีวันยอมโดนคุณสลัดทิ้งเหมือนถอดเสื้อใส่ตะกร้าหรอก”

อรกานต์ทำเสียงขึ้นจมูกดังหึ “โดยเฉพาะเมื่อเสื้อตัวนั้นยังไม่ได้ใส่เลยใช่มั้ยล่ะ”

ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ขณะที่หญิงสาวคำราม

“ไม่มีวันที่ฉันจะแจ้นไปหาคุณ และไม่มีวันที่ฉันจะขึ้นเตียงกับคุณ รู้ไว้ซะด้วย”

“แล้วเรามาคอยดูกัน” กฤตินทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวกว่าเดิม

กระบวนการทดสอบอรกานต์เริ่มต้นขึ้นในเช้าวันถัดมา เมื่อหล่อนได้รับคำเชิญให้ไปพบคุณวิรัช ผู้จัดการทั่วไปตั้งแต่มาถึง

“ฉันยังไม่ได้เดินตรวจความเรียบร้อยรอบๆ โรงแรมเลย ต้องเดี๋ยวนี้เชียวหรือคะคุณนก”

“ท่านสั่งมาว่าให้คุณไปพบทันที ไปก่อนเถอะค่ะ”

อรกานต์รับคำงงๆ ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี และทันทีที่ถึงห้องผู้จัดการ ผู้สูงวัยกว่าก็เปิดฉากทันทีโดยไม่มีคำทักทาย

“นิตยสารสมาร์ตแคนเซิลห้องสัมมนาทั้งหมดที่จองไว้สำหรับโครงการอบรมนักเขียนหน้าใหม่ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า”

“คะ!” หล่อนอุทานออกมาได้แค่นั้น เพราะยังตั้งตัวไม่ติด

“เราจะเสียรายได้ค่าห้องสัมมนาสัปดาห์ละสามวัน เป็นเวลาสามเดือน รวมไปถึงค่าอาหารว่างและค่าอาหารกลางวันด้วย”

“คะ!?”

“แล้วยังจะงานเลี้ยงใหญ่ฉลองครบรอบห้าปีของทางนิตยสารอีก เค้าแคนเซิลทีเดียวสองงานเลย”

“คะ!?!”

ท่านรองผู้จัดการสาวได้แต่งง อึ้ง พูดอะไรไม่ออก

“ผมอยากให้คุณช่วยตรวจสอบหาสาเหตุให้หน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น นิตยสารสมาร์ตจัดอบรมโครงการนี้ที่โรงแรมเรามาทุกรุ่น แล้วปีนี้มันเกิดอะไรขึ้น”

“ฉะ…ฉันไม่ทราบค่ะ”

“ยังไงคุณช่วยลองคุยกับคุณทินกรให้หน่อย ถามดูทีว่าฝ่ายขายหรือฝ่ายต้อนรับของเราทำอะไรผิดหรือไปขัดใจอะไรกับทีมดำเนินการของเขาเข้า ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ให้ขอโทษเขาซะ แล้วบอกว่าทางเราจะรีบแก้ไขโดยด่วนที่สุด ช่วยเจรจาให้ผมทีนะครับ”

“จะดีหรือคะ คุณวิรัช”

“ดีแล้ว คุยกับคุณทินกรให้ผู้หญิงคุยจะง่ายกว่า อีกอย่าง…ผมจะฝึกคุณด้วย อีกหน่อยถ้าคุณเลื่อนมาเป็นผู้จัดการ ปัญหาพวกนี้คุณต้องเป็นคนแก้”

“ฉัน…” หญิงสาวอับจนด้วยถ้อยคำ ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธหน้าที่นี้

“ค่ะ” ลงท้ายอรกานต์รับคำด้วยอาการคอตก ก่อนจะเดินกลับไปทำงาน

 

ภาคบ่ายของหล่อนก็เริ่มต้นอย่างไม่ดีนักเช่นกัน

ตั้งท่าจะโทรศัพท์มาห้าชั่วโมงแล้ว ป่านนี้ยังไม่กล้ายกหูโทรศัพท์เลย ถ้าบรรณาธิการของนิตยสารฉบับนั้นคือทินกร หล่อนก็พอจะทราบแล้วว่าเรื่องมันมีสาเหตุมาจากอะไร นี่อาจจะเป็นการเริ่มต้นของการทำให้หล่อน ‘วิ่งแจ้น’ ไปหากฤตินถึงที่ก็ได้ เรื่องอะไรจะไปตกหลุม

แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ ถ้ามันเป็นความผิดพลาดของการดำเนินงานและการประสานงานจริงๆ ล่ะ

คิดจนหัวแทบแตกแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นคุยกับทินกรอย่างไรดี ไอ้วาทศิลป์ของหล่อนนี่มันก็ดันดีเฉพาะการเจรจาท้าตีท้าต่อยซะด้วย

ขณะที่ยังจดๆ จ้องๆ กับโทรศัพท์อยู่นั้น อรกานต์ก็สะดุ้งกับเสียงแผดร้องของมัน

“ฮัลโหล”

“ไทร่า เชิญที่ห้องผมหน่อยครับ”

พูดจบก็วางสายโทรศัพท์ดังกริ๊ก นี่ถ้าเป็นไทร่าตัวจริง คุณวิรัชมีหวัง ‘โดน’ แน่ๆ แต่ในเมื่อผู้หญิงคนนี้มีวิญญาณของอรกานต์ คุณวิรัชจึงได้พบหล่อนที่ห้องทำงานภายในเวลาไม่กี่นาที

“เชิญนั่งครับ” หนุ่มใหญ่วัยกลางคนมีสีหน้าไม่สู้ดี ทำเอาอรกานต์ใจเต้นตึกๆ ด้วยความหวั่นวิตกไปด้วย

“มีอะไรหรือคะ”

“คุณคุยกับคุณทินกรรึยัง”

“ยังเลยค่ะ”

อีกฝ่ายถอนใจยาวก่อนกล่าว “ผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากเชียงใหม่ โครงการฝึกภาษาอังกฤษภาคฤดูร้อนของโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง ขอแคนเซิลห้องพักที่จองไว้ทั้งหมดทั้งเดือนเลย”

“หา!?”

“ตามด้วยโทรศัพท์จากภูเก็ต บริษัท…ที่จองที่พักไว้สิบห้าห้อง สองคืนสำหรับยกพลเที่ยวกันทั้งบริษัทก็ขอแคนเซิลเหมือนกัน”

“อะไรกันคะนี่”

“ใช่ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ ฟอร์มแย่อย่างนี้อาจต้องเรียนท่าน”

“ต้องเรียนคุณอาเชียวหรือคะ ฉันตายแน่”

“เกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ”

“ไม่บอกได้มั้ยคะ เอาเป็นว่าคุณจะเรียนท่านก็ได้ แต่อย่าเพิ่งให้ท่านมาเฉ่งฉัน ฉันจะพยายามแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มความสามารถ”

“จริงๆ เรื่องที่เชียงใหม่กับภูเก็ตนี่ไม่เกี่ยวกับเรานะ มันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องแก้กันเอง เพียงแต่ผมแปลกใจ คิดว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกัน คุณมีอะไรที่พอจะบอกผมได้บ้างสักนิดไหม”

“สงสัยฉันจะก่อศัตรูกับผู้มีอิทธิพลน่ะค่ะ ขอเวลาสักวันสองวัน แล้วฉันจะรีบเคลียร์ให้นะคะ”

อรกานต์กลับมานั่งกุมขมับในห้อง ตัดสินใจโทรหาทินกรทันที

“ไม่มีอะไรผิดพลาดที่โรงแรมของคุณหรอกไทร่า สบายใจได้”

หนุ่มหล่อปลายสายให้ความร่วมมืออย่างดี อาจจะดีเกินไปด้วยซ้ำ หล่อนแทบจะนึกถึงหน้าขาวๆ กำลังยิ้มใสๆ ขณะสนทนาได้เลย

“มีโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งเพิ่งมาลงโฆษณาในหนังสือของผม ผมก็เลยอยากจะอุดหนุนเขาขึ้นมา นี่ก็ชวนบริษัทของเพื่อนกับโรงเรียนสอนภาษาของน้องให้ไปลองด้วยกัน”

“คุณทิน! ฝีมือคุณหมดเลยหรือคะเนี่ย”

“คร้าบ ใช่ เก่งมั้ยล่ะ คุณเต้นผางเลยล่ะสิ”

“ใช่ ทั้งเต้นทั้งสะดุ้งเลย คุณวิรัช ผู้จัดการใหญ่ก็เต้น และเรื่องก็กำลังจะเต้นไปถึงอาสาริศด้วย”

“โทษทีนะไทร่า เลยเดือดร้อนไปถึงญาติผู้ใหญ่เลย”

ฟังน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายของเขาแล้วอรกานต์ยิ่งเดือด “คุณ! คุณฟังแล้วจำเอาไปบอกเพื่อนคุณด้วยนะ ว่ายังไงก็ไม่มีวัน ฉันไม่มีทาง…”

“ใจเย็นๆ ไทร่า แค่ไปคุยกันดีๆ เท่านั้นเอง อย่างน้อยคุณก็จะได้นิตยสารสมาร์ตกลับไปนะ”

“บ้า! บ้าที่สุดเลย ฉันไม่เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกันอย่างนี้หรอก นิตยสารสมาร์ตจะต้องกลับมาเพราะข้อเสนอของทางโรงแรม ไม่ใช่เพราะเรื่องของฉันกับคุณกฤติน งี่เง่าที่สุด!”

“แค่ไปคุยกันเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นคุณอาจเจออย่างอื่นตามมาอีกนะ ผมขอเตือนไว้ก่อน”

“พวกคุณนี่มัน…ทุเรศ…แย่มาก…”

แล้วหล่อนก็กระแทกหูโทรศัพท์ดังโครมก่อนจะทันจบประโยคเสียอีก

 

วันถัดมาอรกานต์เริ่มงานอย่างราบรื่นดี มามีปัญหาเอาตอนสาย

“เชฟเดวิดลาหยุดค่ะ คุณไทร่า”

หล่อนได้รับแจ้งจากผู้จัดการประจำห้องอาหารอิตาเลียนเมื่อตอนเดินตรวจความเรียบร้อยของโรงแรม

“ค่ะ แล้ว…ทำไมเหรอคะ”

“คือ…” อีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “คุณธนากรและคุณพิชิต เชฟคนไทยก็ลาหยุดพร้อมกันค่ะ เด็กผู้ช่วยที่พอจะเป็นงานบ้างก็หาตัวไม่เจอค่ะ”

“อ้าว แล้วทำยังไงล่ะคะ”

“ดิฉันให้ขายแต่ของง่ายๆ ที่เด็กลูกมือในครัวพอทำเป็น กับของที่มีอยู่แล้วเอาไปอุ่น”

“ค่ะ”

“แต่นี่ยังเช้าอยู่ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ทั้งวัน ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะคะ”

“แจ้งคุณวิรัชรึยังคะ”

“ยังค่ะ ดิฉันบอกคุณไทร่าก่อน”

“เรียนคุณวิรัชได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะลองโทรตามเชฟให้มาทำงานสักคน ตอนนี้คุณแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนนะคะ”

หล่อนถูกคุณวิรัชอบรมนิดหน่อยฐานที่ดึงลูกค้ากลับมาไม่ได้สักรายแถมยังมีปัญหาตามมาในวันนี้อีก แต่หลังจากที่หล่อนเปลืองน้ำลายไปหลายถังเจรจาจนเชฟชาวไทยชื่อพิชิตกลับเข้าประจำการในอีกสองชั่วโมงถัดมา ผู้อาวุโสกว่าก็มีท่าทีพอใจมากขึ้น หารู้ไม่ว่าหล่อนต้องควักเงินส่วนตัวออกไปร่วมหมื่นบาทในการดึงตัวบุคลากร

แค่งานนี้งานเดียว กระเป๋าหล่อนก็เริ่มแห้งแล้ว จะเอาทุนที่ไหนไปงัดกับมหาเศรษฐีอย่างกฤตินในยกถัดไปล่ะนี่ และยังไม่ทันที่อรกานต์จะหายเหนื่อยกายเหนื่อยใจจากการทำงานในครึ่งแรกของวันเลย พอบ่ายสองโมง ปัญหาใหม่ก็ลอยเข้ามาหาอีกแล้ว

“ฝ่ายจัดเลี้ยงมาขอพบคุณไทร่าค่ะ” คุณรัชนก เลขาฯ ผู้แสนดีรายงานนำร่องเข้ามาก่อน พอจะทำให้หล่อนมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอีกสักพัก

อรกานต์ออกปากอนุญาต พร้อมกับสั่งตัวเองให้ตั้งสติให้มั่น พร้อมลุย

“สวัสดีค่ะ มีธุระอะไรหรือคะ” หล่อนยิ้มหวานทักทายไปก่อน แต่กระนั้นสีหน้าแตกตื่นตกใจของผู้เข้าพบก็ยังไม่ดีขึ้น

“คือ…คุณไทร่าคะ ภาพถ่ายคู่บ่าวสาวขนาดเท่าตัวคนจริงๆ ที่จะมาตั้งโชว์หน้างานหายไปค่ะ”

“คะ?!” รองผู้จัดการใหญ่อุทานเสียงดัง สีหน้าซีดเผือด ตกใจไม่แพ้ผู้เข้ามารายงาน “ละ…แล้ว…ทางสตูดิโอจัดงานว่ายังไงคะ”

“ทางสตูดิโอยืนยันว่าเอามาตั้งไว้แล้วแน่นอน มีรูปใหญ่อยู่รูปเดียวค่ะ จะให้เขาไปขยายแล้วใส่กรอบมาใหม่ก็ไม่ทัน ส่วนอัลบั้มภาพไม่มีปัญหาค่ะ จัดวางเรียบร้อยดีแล้ว”

“แล้วทางเจ้าภาพว่าอย่างไรบ้างคะ”

“โวยวายใหญ่แล้วค่ะ ไม่มีใครเข้าหน้าติดสักคน จะขอพบผู้จัดการท่าเดียว”

“คุณวิรัชว่าอย่างไรคะ”

“คุณวิรัชบอกให้คุณจัดการค่ะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ แล้วถึงจะช่วย”

ตายล่ะสิ ทำยังไงดีล่ะ ยิ่งพูดจาประนีประนอมเก่งผิดมนุษย์มนาเขาอยู่ด้วย แถมยังไม่เคยรับมือกับปัญหาอะไรแบบนี้มาก่อนอีก มีแต่ตายกับตายลูกเดียวงานนี้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 64

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: