นางเห็นแล้วยิ้มหวาน “วางใจเถอะ เต้าหู้ทางเหนือก็มีเช่นกัน ข้าเองก็ชอบกิน ไม่มีปัญหาเรื่องรสชาติหรอก” พูดพลางตักเต้าหู้ราดน้ำผึ้งขึ้นมาอีกคำ ยื่นใส่ปากเล็กต่อหน้าเขา กินให้เขาดู
“ทางเหนือแม้จะมี แต่ไม่นุ่มลื่นเหมือนของต้งถิง ปกติแล้วจะแข็งกว่าหน่อย” เขามองนาง มือใหญ่ยังคงแบอยู่บนโต๊ะ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยอีกว่า “ข้าพูดจริงๆ ถ้าเจ้ากินไม่ลง ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกน่า”
“ไม่ฝืนแม้แต่น้อย” นางยิ้มมองเขา ตักอีกคำใส่ปาก “ของอร่อยถึงเพียงนี้ จะฝืนใจได้อย่างไร”
ได้ยินดังนั้นเขาถึงหดมือกลับมาด้วยความเสียดาย
“เต้าหู้นี้เพิ่งทำเมื่อเช้า พี่เหลยเป็นคนที่จริงจังมาก แม้แต่น้ำที่ใช้ทำเต้าหู้ยังตั้งใจขึ้นไปขนลงมาจากบนภูเขา” เขามองนาง ใช้มือเท้าคางเล่าต่อ “เขามีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อตงตง สองปีก่อนตงตงป่วยเพราะถูกลมหนาวทำให้หูไม่ได้ยินเสียง แต่นางเป็นเด็กดีและกตัญญูมาก อายุน้อยๆ ก็รู้จักช่วยคัดถั่วทำเต้าหู้แล้ว”
อาหลิงข่มความรู้สึกอยากเหลือกตาใส่เขา เพียงเบนสายตาออกไป ก้มหน้าหลุบตากินเต้าหู้อีกคำ หาไม่แล้วเขาจะเข้าใจผิดคิดว่านางสนใจอยากฟังเรื่องพวกนี้ แต่ชายผู้นั้นยังคงเล่าต่อ
“แม่ของตงตงก็ทำเต้าหู้เก่งมาก นางแยกแยะคุณภาพของน้ำเก่งเป็นพิเศษ ข้ายังจำได้ว่าในอดีตนางกับพี่เหลยเดินทางไปทั่วภูเขาละแวกนี้ ชิมน้ำแร่บนภูเขาทั้งน้อยใหญ่กว่าจะเจอน้ำแร่ภูเขาที่เหมาะสำหรับทำเต้าหู้มากที่สุด พี่เหลยกับนางรักใคร่ลึกซึ้ง ดังนั้นแม้แม่ของตงตงจะจากไปสองปีกว่าแล้ว จวบจนบัดนี้พี่เหลยก็ยังไม่แต่งงานใหม่”
นางไม่สนใจชีวิตของคนทำเต้าหู้ผู้นี้เลยจริงๆ แต่ชายผู้นั้นก็ยังคงพล่ามต่อ
“มีแม่สื่อมาที่บ้านอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรพี่เหลยแม้จะไม่มั่งคั่งร่ำรวย นิสัยก็เงียบขรึมไปหน่อย แต่เขาเป็นคนซื่อ ทั้งยังมีฝีมือ มีคนไม่น้อยมาเจรจาหาภรรยาให้เขา จะให้เขาแต่งงานใหม่ หาแม่ศรีเรือนมาช่วยดูแลเด็ก ถือโอกาสตอนยังหนุ่มมีลูกอีกสองสามคน ยังช่วยทำมาค้าขายได้อีกด้วย…”
นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ค้อนปะหลับปะเหลือกและโพล่งออกมา “ตกลงจะหาภรรยาหรือหาคนรับใช้กันแน่”
เขาฟังแล้วหัวเราะ “คนผู้นั้นก็หวังดี ถึงอย่างไรหูของตงตงก็ไม่ได้ยินเสียง ไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป ชายตัวโตที่หยาบกระด้างคนหนึ่งต้องดูแลเด็กที่เป็นเช่นนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ อีกทั้งพี่เหลยยังหนุ่มยังแน่น ร่างกายแข็งแรง เพียงเพราะสูญเสียภรรยาไปจึงต้องอยู่ตัวคนเดียวไปชั่วชีวิต นั่นย่อมไม่จำเป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนตายแม่ของตงตงกำชับนักหนา หวังว่าพี่เหลยจะแต่งงานใหม่ นั่นก็เพราะกลัวเขาจะอยู่คนเดียวไปจนแก่ ไม่มีคนดูแล แต่แม่สื่อมาทาบทามอยู่หลายครั้ง ล้วนถูกเขาปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่ายังคงไว้ทุกข์…”
“ถามจริงเถอะ ไป๋ลู่รู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดมากถึงเพียงนี้”
“ต้องรู้อยู่แล้ว” เขาเท้าคาง ยิ้มมองนางและเล่าว่า “ตอนข้าเก็บนางได้ ร่างกายนางมีแต่บาดแผล กระดูกซี่โครงหักไปสองท่อน กระดูกที่หักแทงทะลุเนื้อออกมาด้วยซ้ำ ไม่เหมือนเจ้า แผลนางหายช้ามาก นอนอยู่บนเตียงหลายเดือนกว่าจะลงมาเดินได้”
“หลายเดือน? ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้ายังคิดว่านางโง่ ที่แท้ไม่โง่นี่นา”
“หมายความว่าอย่างไร” เขาเลิกคิ้ว
อาหลิงตักเต้าหู้ราดน้ำผึ้งคำสุดท้ายใส่ปาก ก่อนตอบอย่างใจเย็น