บทที่ 1
จ่างซุนเสินหรงฝันว่านางกลิ้งตลบไปพร้อมกับคนผู้หนึ่ง…
‘แควก’ เกิดเสียงดังขึ้น เสื้อผ้าร่วงลงสู่พื้น แขนของคนผู้นั้นยื่นเข้ามาโอบรัดเอวของนางเอาไว้อย่างแข็งแกร่งทรงพลัง ท่ามกลางแสงเทียนที่หรุบหรู่ ไหล่บ่ากว้างหนาของบุรุษเหยียดขยายออกต่อหน้าต่อตา หัวไหล่ขยับยก เหงื่อบางๆ ถูกเขย่าโยกจนไหลหยดท่ามกลางรัศมีอันเรืองรอง
นางยากจะทนไหว จึงคิดจะคว้าอะไรก็ได้ตามสัญชาตญาณ พอยื่นมือออกไปก็คว้าได้เสื้อผ้าที่เพิ่งถูกฉีกร่วงลงพื้นตัวนั้น นางเพ่งมองไป นั่นคือชุดเจ้าสาว ชุดเจ้าสาวที่นางสวมใส่ตอนแต่งงาน นางพลันหันกลับไปมองใบหน้าของบุรุษผู้นั้น…ทันใดนั้นก็ตกใจจนลุกขึ้นนั่ง
แสงเรื่อเรืองจากท้องฟ้าสาดกระทบกรอบหน้าต่างทอดเป็นเงายาวเฉียงๆ สายหนึ่ง ยืดยาวมาจนถึงที่เตียง จ่างซุนเสินหรงกอดผ้าห่มผืนบางที่ห่มอยู่บนร่างเอาไว้แน่น แผ่นหลังเปียกชื้นเหงื่อจนเสื้อผ้าหนักอึ้ง นางหอบหายใจอย่างเร่งร้อน สูดลมหายใจเข้าไปทีละเฮือก ยังคงไม่ออกมาจากภาพในห้วงฝันนั้น
“ประมุขน้อย?” จื่อรุ่ยสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม “ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ พอดีเลย คุณชายมีคำสั่งให้เตรียมตัวออกเดินทางแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม” จ่างซุนเสินหรงขานตอบอย่างแช่มช้าคำหนึ่ง ลำคอรู้สึกแห้งผากอย่างน่าประหลาดอยู่บ้าง
จื่อรุ่ยผลักประตูเข้ามาปรนนิบัตินางลุกจากเตียง พอยื่นมือมาแตะโดนร่างของนางก็ต้องตกใจ “เหตุใดประมุขน้อยถึงเหงื่อออกมากถึงเพียงนี้ล่ะเจ้าคะ”
ดวงตาจ่างซุนเสินหรงครึ่งหลับครึ่งลืม พูดอย่างขอไปทีว่า “เพียงฝันไปเท่านั้น”
จื่อรุ่ยรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้น “เช่นนั้นก็ประหลาดแล้ว ประมุขน้อยไม่เคยฝันร้ายมาก่อนเลยนะเจ้าคะ”
ที่พูดก็ไม่ผิด จ่างซุนเสินหรงลูบๆ ใบหน้าที่ร้อนจัด
“ต้องเป็นเพราะที่นี่เป็นภูเขาสูงหนทางห่างไกล เลยทำให้ท่านที่มาจากแถบที่ราบลุ่มอึดอัดไม่ค่อยสบายตัวเป็นแน่” จื่อรุ่ยพึมพำพลางหันหน้าไปยกน้ำสะอาด
ที่นี่เป็นอารามเต๋าแห่งหนึ่ง อยู่ห่างไกลความเจริญจริงๆ คณะของพวกนางที่เดินทางมาจากฉางอันต้องเดินทางเกินกว่าครึ่งเดือนถึงได้มาถึง หนำซ้ำระหว่างทางยังไม่มีการหยุดแวะพักใดๆ สักครั้ง
จ่างซุนเสินหรงไม่พูดอะไร ในที่สุดดวงตาก็ลืมขึ้นอย่างเต็มตาแล้ว ทว่าคนกลับดูเหมือนยังไม่ตื่น นางยกมือขึ้นไปลูบลำคอของตนเอง เหงื่อเหนียวเต็มไปทั้งฝ่ามือ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งร่างก็เหมือนกับเพิ่งถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ นางถูๆ ฝ่ามือ ยังคงคิดถึงฝันนั่นอยู่…
เวลาที่เสียงระฆังบอกในอารามดังมาแว่วๆ ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นพวกนักพรตก็เคลื่อนไหวกันหมดแล้ว ต่างพากันมารอคอยอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของอารามอย่างเคารพนบนอบ แม้แต่เด็กน้อยสองคนที่กวาดพื้นก็มาด้วยไม่มีตกหล่น กอดไม้กวาดที่สูงกว่าตนเองเอาไว้ยืนอยู่ที่ปลายแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
คนของสกุลจ่างซุนซึ่งเป็นตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ในเมืองหลวงฉางอันมาทุกยุคสมัย และเป็นทายาทของผู้มีคุณูปการในการก่อตั้งบ้านเมือง…อยู่ๆ ก็พลันดั้นด้นเดินทางไกลมาอย่างกะทันหัน เหยียบย่างเท้าอันสูงศักดิ์ลงบนอารามเล็กๆ บนภูเขาเปลี่ยวร้างแห่งนี้ นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ทุกคนรับมือกันไม่ทันเลยทีเดียว
เมื่อวานตอนที่คณะเดินทางมาถึง แม้แต่เจ้าอารามที่กักตัวบำเพ็ญเพียรอดอาหารอยู่ ก็ยังต้องละเมิดกฎออกมาต้อนรับอย่างนอบน้อม วันนี้บรรดาแขกผู้สูงศักดิ์จะไปแล้ว ทุกคนย่อมต้องน้อมส่งอย่างระมัดระวัง
คณะเดินทางของสกุลจ่างซุนกลุ่มนี้แต่งกายเรียบง่ายธรรมดา แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็มีคนมากถึงสิบกว่าคน แทบจะทำให้อารามเต๋าแห่งนี้เบียดเสียดแออัด ซึ่งคนในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้ไม่เคยพบเห็นการดำเนินชีวิตของคนในตระกูลใหญ่มาก่อน
เหล่านักพรตทั้งหมดวางมือข้างตัวยืนนิ่ง ลอบเหลือบมองอย่างเลื่อมใสไปยังบรรดาองครักษ์ผู้ติดตามที่เข้าๆ ออกๆ จัดการสัมภาระให้เรียบร้อย เทียมม้าเข้ากับตัวรถ แล้วก็ได้แต่ใช้สายตามองตามพลางทอดถอนใจในความรุ่งเรืองของตระกูลเก่าแก่ในใต้หล้าที่เปี่ยมด้วยธุลีแดง* นี้
เบื้องหน้ารถม้ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมชุดตัวยาวคอกลม รูปโฉมหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ยามยกมือวาดเท้าทั่วทั้งร่างล้วนเปี่ยมกลิ่นอายผู้สูงศักดิ์ เขาก็คือจ่างซุนซิ่นผู้นำของขบวนนี้
เจ้าอารามซึ่งพาดแส้ปัดเอาไว้ที่แขนยืนอยู่ด้านข้าง กำลังโค้งกายคำนับเขาอยู่ “คุณชายโปรดอภัยด้วย อารามเล็กๆ เปลี่ยววิเวกห่างไกลความเจริญ ถือว่าดูแลต้อนรับได้ไม่ทั่วถึงจริงๆ”
จ่างซุนซิ่นยิ้มพลางพูดว่า “ข้าไม่เป็นไรแม้แต่น้อย ขอเพียงบรรพชนที่อยู่ข้างในผู้นั้นไม่พูดว่า ‘ไม่ดี’ เช่นนั้นก็ดีแล้ว” พูดแล้วเขาก็หันไปทางด้านหลัง ยกมือกวักเรียกคน
ประเดี๋ยวเดียวก็มีคนรับใช้ก้าวออกมาข้างหน้า สองมือประคองเงินตอบแทนน้ำใจยื่นให้