บทที่ 2
บ้านเมืองในช่วงเวลานี้เพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้า
ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตไปเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว รัชทายาทที่พระองค์แต่งตั้งไว้สืบทอดตำแหน่งแทน หลังจากโอรสสวรรค์องค์ใหม่นี้ครองราชย์ได้ไม่นาน ก็ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับขุนนางคนสำคัญที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของฮ่องเต้องค์ก่อนอีก ถึงขั้นที่มีบางคนในนั้นถูกจับกุมและถูกลงโทษไปทีละคนๆ
ผู้สืบทอดสกุลจ่างซุนที่อยู่ในตำแหน่งจ้าวกั๋วกง* ย่อมต้องอยู่ในกลุ่ม ‘ขุนนางคนสำคัญ’ เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ที่ถึงกับต้องคอขาดบาดตายก็เพราะขณะฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ตระกูลนี้ยังเคยเข้าร่วมในการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทอย่างลับๆ และคนที่พวกเขาสนับสนุนก็คือผู้อื่น
เรื่องนี้ได้รับการอภัยโทษไปแล้วในตอนนั้น แต่หากถูกขุดคุ้ยขึ้นมาในเวลานี้ นั่นก็คือการตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าชีวิตองค์ใหม่แล้ว ในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่เก่าแก่อันทรงอำนาจ ยามสงบให้ระวังภัยถือเป็นรากฐานในการยืนหยัด สกุลจ่างซุนไม่อาจนั่งรอจนถึงช่วงเวลาคิดบัญชีหลังฤดูสารท* ได้ จำเป็นต้องเป็นฝ่ายพลิกสถานการณ์เสียเอง ภายในเวลาอันรวดเร็วทางตระกูลก็เห็นชอบให้ถวายฎีกาฉบับหนึ่งไปทางราชสำนักว่า…
รองเสนาบดีกรมโยธาจ่างซุนซิ่นขอมีส่วนช่วยแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท ด้วยต้องการช่วยบรรเทาหนี้สินของท้องพระคลังเพื่อบ้านเมืองซึ่งเกิดจากกิจการด้านทหารที่ชายแดนในช่วงหลายปีนี้ ใคร่ขอพระบรมราชานุญาตให้ออกไปข้างนอกเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเปิดภูเขาขุดหาแร่ให้กับบ้านเมือง
วันถัดมาก็มีพระราชโองการลงมา อนุญาตให้ดำเนินการได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าวสกุลจ่างซุนจึงเริ่มการเดินทางไกลเที่ยวนี้ และนี่ก็คือเรื่องสำคัญที่จ่างซุนซิ่นพูดถึง
ตอนที่จ่างซุนเสินหรงมองออกไปข้างนอก ก็พบว่านางออกจากอารามแห่งนั้นมาได้สองวันแล้ว รถม้ากำลังแล่นอยู่บนเส้นทางที่ตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งข้างหน้าข้างหลังล้วนไม่เห็นวี่แววว่าจะมีผู้คนอยู่อาศัย มีเพียงคณะเดินทางของพวกเขาเท่านั้นที่เดินทางผ่านมาพร้อมกับลากฝุ่นละอองเป็นทางยาวที่ท้ายขบวน ก่อนจะถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัดกระจายไปในที่สุด
นางเบือนหน้าไปถาม “ถึงที่ใดแล้ว”
จื่อรุ่ยที่นั่งเฝ้าอยู่นอกประตูรถม้าตอบว่า “เรียนประมุขน้อย เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนได้ยินคุณชายบอกว่าเข้าเขตพื้นที่โยวโจวแล้วเจ้าค่ะ”
ขณะจื่อรุ่ยพูดอยู่จ่างซุนซิ่นก็ควบม้าเข้ามาจากทางด้านหลังแล้ว “นักพรตผู้นั้นพูดได้ไม่ผิด ระยะทางไม่ไกลจริงๆ ตอนนี้ก็มาถึงแล้ว” เขาพูดพลางยกมือชี้ไปเบื้องหน้าคราหนึ่ง
จ่างซุนเสินหรงมองตามไป ในที่ไกลออกไปมีประตูเมืองตั้งตระหง่านขวางอยู่ เชื่อมต่อกับกำแพงเมืองอันคดเคี้ยวที่ยึดครองพื้นที่เอาไว้ ประหนึ่งฉากกั้นแถบหนึ่งที่ตัดแยกฟ้าดินออกจากกัน
ทางด้านนั้นมีองครักษ์คนหนึ่งไปที่เชิงกำแพงเมืองเพื่อสอบถามก่อนแล้ว และเขาเพิ่งกลับมากุมหมัดประสานมือกล่าวรายงานต่อจ่างซุนซิ่น แจ้งว่าขณะนี้ประตูเมืองไม่เปิด สาเหตุเพราะทันทีที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวโยวโจวก็จะเข้มงวดกับกฎข้อบังคับที่ห้ามคนออกนอกบ้านมากยิ่งขึ้น ทุกๆ วันล้วนเปิดประตูเมืองเพียงไม่กี่ชั่วยาม* เท่านั้น พวกเขาเร่งรุดเดินทางตลอดทั้งวันมาอย่างรวดเร็วมาก เวลานี้จึงมาถึงเช้าเกินไป อยากให้ประตูเมืองเปิดยังต้องรออีกครึ่งชั่วยาม
จ่างซุนซิ่นได้ยินแล้วก็อดพึมพำไม่ได้ “นักพรตผู้นั้นพูดถูกต้องอีกแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีจริงๆ ช่างมากเรื่องเหลือเกิน” เขาคิดๆ แล้วก็หันไปร้องเรียกคนในรถม้า “อาหรง ไม่ต้องรอเข้าเมืองแล้ว พวกเราก็เริ่มต้นตรงนี้เลยแล้วกัน”
จ่างซุนเสินหรงมองไปทางเขา “เร่งด่วนเพียงนี้?”
เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เร่งด่วนเสียที่ใดกัน ข้าแค่กลัวว่าเจ้ารีบเดินทางจนเหนื่อยแล้ว เริ่มต้นเร็วหน่อย หลังจากนี้จะได้ให้เจ้าพักผ่อนให้สบายอย่างเต็มที่…ไม่ดีหรือ”
จ่างซุนเสินหรงได้ยินวาจาหวังดีเช่นนี้มาตลอดทางจนคุ้นชินแล้ว จึงไม่ออกความเห็นอะไร
จ่างซุนซิ่นขี่ม้าอย่างเชื่องช้าพลางจ้องมองนางผ่านหน้าต่าง ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายเสนอความคิด แต่คล้ายว่าต้องรอนางเป็นผู้เอ่ยปากตัดสินใจอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดนางก็ผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็เริ่มต้นเลยแล้วกัน”
จ่างซุนซิ่นรีบรั้งบังเหียนม้าทันที ก่อนโบกมือ ทุกคนก็หยุดลงตามเขา
“อัญเชิญม้วนหนังสือ” จ่างซุนเสินหรงขานเรียกคราหนึ่ง ขบวนแถวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
จ่างซุนซิ่นลงจากม้าไปยืนอยู่ที่ข้างประตูรถม้าแล้วกวักมือคราหนึ่ง องครักษ์สิบกว่าคนก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ล้อมป้องกันรถม้าเอาไว้ตรงกลาง
ที่ด้านหลังขบวนรถ บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งหยิบถุงหนังใส่น้ำออกมาแล้วสาดพรมใส่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่ง สองมือประคองส่งขึ้นมา
จื่อรุ่ยรับผ้าเช็ดหน้ามาบิดให้หมาด แล้วก้มตัวเข้าไปในรถม้า คุกเข่ายื่นส่งให้