จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 1-บทที่ 2
จ่างซุนเสินหรงถกแขนเสื้อขึ้น รับผ้าเช็ดหน้ามา ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเนื้อนุ่มคลุมที่มือของนาง หุ้มนิ้วเรียวยาวเอาไว้ คราแรกมือซ้ายแล้วค่อยมือขวา นางเช็ดนิ้วทั้งสิบอย่างละเอียดรอบหนึ่งจนสะอาด จากนั้นค่อยทิ้งผ้าไป ดึงช่องลับที่อยู่ข้างๆ เบาะนั่งออกมาช่องหนึ่ง แล้วเปิดผ้าแพรบางเบาผืนหนึ่งออก เผยให้เห็นกล่องไม้จันทน์แดงที่แกะสลักลวดลายง่ายๆ ใบหนึ่ง ซึ่งก็คือกล่องไม้ที่นางกอดไว้แนบอกตลอดเวลาก่อนหน้านี้นั่นเอง
จ่างซุนเสินหรงนั่งคุกเข่าตัวตรง สองมือวางเสมอระดับอกเบื้องซ้าย มือขวากดไว้บนมือซ้าย ก้มศีรษะลง กราบคารวะกล่องไม้อย่างเต็มพิธีการ
จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านข้างหมอบตัวก้มศีรษะไปก่อนแล้ว ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
เมื่อเสร็จพิธีจ่างซุนเสินหรงก็นั่งตัวตรง ถือกล่องไม้วางไว้บนหัวเข่าแล้วเปิดออก ข้างในคือหนังสือม้วนหนาม้วนหนึ่ง เขียนอยู่บนผ้าไหมสีเหลืองเนื้อบาง ผูกมัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย นางคลี่ออกอย่างระมัดระวัง หาจุดที่ต้องการนั้นจนพบก็หยุด แล้ววางแผ่เอาไว้ที่หัวเข่าอ่านอย่างระมัดระวัง
ไม่มีใครรบกวนนาง นางเพียงอ่านหนังสือม้วนนั้นอยู่ในรถม้าอย่างสงบเงียบ อ่านไปพลางครุ่นคิดไปด้วย
ทุกคนที่ด้านนอกล้อมวงคอยป้องกันอย่างเงียบเชียบ
จวบจนผ่านไปได้สองเค่อ* ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้ว นางถึงได้หยุด ม้วนหนังสือเก็บกลับวางลงไปและปิดฝากล่อง จากนั้นพูดว่า “แผนที่”
จื่อรุ่ยรีบหยิบกระดาษที่ทำจากใยปอพับทบเอาไว้แผ่นหนึ่งออกมา กางออกแล้วส่งไปตรงหน้าจ่างซุนเสินหรง
เป็นแผนที่โยวโจวฉบับคัดลอกแผ่นหนึ่ง จ่างซุนเสินหรงรับมาดูอยู่รอบหนึ่ง โดยเฉพาะตรงส่วนที่เป็นมุมของแผนที่นั้นดูแล้วก็ดูอีก ในที่สุดก็ยื่นนิ้วมือออกจิ้มลงไปเบาๆ สองตำแหน่ง และเงยหน้าขึ้นถาม “ตงไหลเล่า”
จื่อรุ่ยหันหน้าไปเลิกม่านขึ้นแล้วออกไปจากรถม้า “ประมุขน้อยเรียกหาตงไหล”
ในหมู่องครักษ์ที่นอกรถม้ามีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแข็งแรงผู้หนึ่งเดินออกมาทันที และก้าวอย่างรวดเร็วมาสองก้าว คุกเข่าลงข้างรถม้า “ประมุขน้อย”
ตงไหลก็เหมือนกับจื่อรุ่ย ต่างเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามจ่างซุนเสินหรงมาหลายปีแล้ว รับหน้าที่คอยอารักขานาง
จ่างซุนเสินหรงสั่งการจากในรถม้าโดยมีผ้าม่านกั้น “พาคนไปด้วยสักหลายๆ คน ไปสำรวจบริเวณที่ข้าชี้ไว้ในแผนที่ดูสักหน่อยว่าพบภูเขากับแม่น้ำหรือไม่ จดจำทิศทางการไหลแล้วรีบกลับมา”
ตงไหลรับคำสั่ง รับแผนที่แผ่นนั้นที่จื่อรุ่ยยื่นส่งให้ ตรวจสอบสถานที่เพื่อยืนยันตำแหน่งอย่างจริงจัง แล้วจึงค่อยคารวะไปทางจ่างซุนซิ่นที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นเรียกคนมาหลายคน แล้วออกจากขบวนไป
จ่างซุนซิ่นยืนอยู่ข้างๆ รถม้าจนถึงตอนนี้ถึงได้เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองเข้าไป “ลำบากเจ้าแล้วอาหรง”
จ่างซุนเสินหรงเพิ่งจะเก็บกล่องไม้เรียบร้อยอย่างระมัดระวัง และหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมืออีกรอบหนึ่ง “ลำบากนั้นไม่เท่าไร เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่สักหน่อย”
เขาพูดว่า “นั่นจะเทียบได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ก็แค่ขนาดเล็กๆ ในที่ดินศักดินาของบ้านเราเท่านั้น ตอนนี้สิที่กำลังจะได้เจอของจริง”
จ่างซุนเสินหรงถอนหายใจ “แล้วไม่ใช่หรอกหรือ นี่เพิ่งจะสำรวจภูมิลักษณ์ ข้าก็ระมัดระวังถึงเพียงนี้แล้ว”
จ่างซุนซิ่นได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา ที่กำลังจัดการกันอยู่นี้เรียกว่า ‘การสำรวจภูมิลักษณ์’
ถ้าหากต้องการขุดหาแร่…นี่ก็คือขั้นตอนแรก
ก่อนหน้านี้ที่ดินศักดินาภายใต้ชื่อของสกุลจ่างซุนก็ค้นพบแร่เช่นกัน และทั้งหมดเป็นแร่ทองแดงกับแร่เหล็กซึ่งเป็นที่ต้องการของบ้านเมืองอย่างเร่งด่วน ต่อมาจ้าวกั๋วกงบิดาของพวกเขาถวายฎีกาเรื่องเหมืองแร่ต่อราชสำนัก และเป็นฝ่ายมอบให้กับราชสำนักเอง
แม้จะบอกว่าตามกฎหมายของบ้านเมืองกำหนดว่าแร่ที่พบทั้งหมดมีเพียงทางการเท่านั้นที่ครอบครองได้ แต่ก็กำหนดไว้ด้วยว่ากั๋วกงซึ่งมีบรรดาศักดิ์สูงมีอำนาจพิเศษ พวกแร่ที่อยู่ในที่ดินศักดินาทั้งหมดสามารถขุดเองได้สองปีเพื่อใช้เติมใส่คลังสมบัติ แต่สกุลจ่างซุนกลับยกมอบให้ราชสำนักโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อีกทั้งที่มอบให้ยังไม่ใช่แค่เพียงแห่งเดียว
ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้เอง ตระกูลของพวกเขาถึงได้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่อันยิ่งใหญ่ไม่กี่ตระกูลที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพึ่งพาอาศัยค่อนข้างมาก ต่อมาจ่างซุนซิ่นก็ได้รับการผลักดันให้เข้ากรมโยธาทั้งที่อายุยังน้อย เวลานั้นยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยกย่องชมเชยสกุลจ่างซุน แม้แต่เด็กสามขวบในฉางอันต่างก็ร้องเพลงนี้ได้ ‘บุตรชายสกุลจ่างซุนเขย่าขุนเขาแม่น้ำ พบภูเขาทองคำนำมาถวายองค์กษัตริย์…’
ทุกคนล้วนกล่าวว่านี่เป็นเพราะสกุลจ่างซุนของพวกเขาโชคดี ทว่ามีเพียงคนสกุลจ่างซุนเท่านั้นที่รู้ดีว่านั่นต้องอาศัยความสามารถของพวกเขาเอง เรื่องนี้พูดแล้วก็น่าอัศจรรย์ สกุลจ่างซุนถึงแม้จะเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับมีความสามารถที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น นั่นก็คือความชำนาญรอบรู้เกี่ยวกับพื้นที่ภูเขา แม่น้ำ และหนองบึงทั้งหลาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีความรู้ด้านนี้ ก็คงไม่มีฎีกาเสนอตัวทำหน้าที่หาแร่ฉบับนั้นแล้ว
แต่ทั้งที่การเดินทางครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญเพียงนั้น จ่างซุนซิ่นกลับไม่พาผู้อื่นมาด้วย เพียงนำจ่างซุนเสินหรงมาคนเดียวเท่านั้น เพราะว่าจ่างซุนเสินหรงเท่านั้นถึงจะเป็นคนที่มีระดับภูมิความรู้สูงที่สุดในสกุลจ่างซุนของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นหนังสือในกล่องที่นางเพิ่งจะเปิดดูม้วนนั้น แท้จริงคือความลับสำคัญที่ตกทอดสืบต่อกันมาของสกุลจ่างซุนของเขา ตอนนี้ก็ตกทอดมาถึงมือของนางแล้ว การเดินทางครานี้ไม่ปกติ จึงต้องเป็นนางเท่านั้น
ดังนั้นตลอดการเดินทางนี้จ่างซุนซิ่นจึงไม่นับว่ากระทำมากเกินไปสักนิด คนที่เป็นพี่ชายอย่างเขาผู้นี้ถูกบ่าวรับใช้เบื้องล่างเรียกขานว่า ‘คุณชาย’ ขณะที่นางกลับสามารถถูกเรียกขานว่า ‘ประมุขน้อย’ สถานะก็เป็นที่ประจักษ์ได้แล้ว นางก็ประหนึ่งบรรพชน…บรรพชนอันล้ำค่าของสกุลจ่างซุนทุกคน
องครักษ์อีกคนหนึ่งที่ไปสำรวจเส้นทางตรงเชิงกำแพงเมืองกลับมารายงานว่าได้เวลาแล้ว ประตูเมืองเปิดแล้ว
จ่างซุนซิ่นสั่งให้ทุกคนกลับเข้าประจำที่ตำแหน่งเดิม แล้วหันหน้าไปพูดยิ้มๆ กับน้องสาวต่อ “จะว่าไปก็นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเจ้าเชิญม้วนหนังสือออกมาต่อหน้าทุกคน ข้าลืมไปแล้วว่าครั้งก่อนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้คือเมื่อใด”
จ่างซุนเสินหรงเอนกายพิงไปด้านหลัง “ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะหนังสือม้วนนี้ข้าเองก็ผนึกเก็บไปนานแล้ว”
จ่างซุนซิ่นไม่รู้เลยว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น จึงถามอย่างใคร่รู้ “ผนึกเก็บไปตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
“ตอนแต่งงาน” สำหรับสตรีนางหนึ่งแล้ว ระดับความรู้ของจ่างซุนเสินหรงไม่มีพื้นที่จะให้ใช้ความสามารถได้เลย ตอนที่แต่งงานจึงย่อมต้องผนึกเก็บไป เพียงแต่ในเวลานี้จำเป็นต้องใช้นางถึงได้นำออกมาใช้ก็เท่านั้น