บทที่ 12
นับแต่กลับมาจากจวนว่าการก่วงหยวนก็นึกสงสัยว่าตนเองใช่ทำเรื่องอะไรผิดไปหรือไม่ มักจะรู้สึกถึงท่านผู้สูงศักดิ์ได้อยู่ตลอด ทว่าตอนอยู่ในจวนว่าการ หลังจากที่ท่านผู้สูงศักดิ์เข้าไปในสวนที่มีคุณชายอยู่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว พอกลับมาสีหน้าก็เย็นชามาตลอด
แต่เขายื่นศีรษะเข้าไปดูในสวน ก็ดูไม่ออกว่ามีความเคลื่อนไหวอะไร คิดๆ ดูอีกทีสภาพของคุณชายตอนที่กลับไปเมื่อวันนั้นก็เหมือนกับไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม
จ่างซุนเสินหรงจ้องดูตัวอักษรที่ตรงหน้า
ม้วนหนังสือหยุดอยู่ที่หน้าชื่อหนังสือ ‘หลักสตรี’ นางนั่งพิงอยู่บนตั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง เอาสองคำนี้มาดูแล้วดูอีก ดูซ้ำไปซ้ำมา แล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ตงไหลอยู่ที่ภูเขาตั้งนานแล้ว ยังไม่มีข่าวส่งมาอีกหรือ”
จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านข้างตอบ “ไม่มีเจ้าค่ะ”
นางถามอีก “พี่ชายข้าเล่า”
“วันนี้คุณชายไปที่ภูเขาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ เขากำลังร้อนใจ ทั้งกลัวผู้ว่าการจ้าวจะเชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยงอีก บอกว่าวางท่าเป็นขุนนางเหนื่อยแล้ว ยังต้องมาเผชิญหน้ากับ…” จื่อรุ่ยหยุดคำพูดไว้ได้ทันท่วงที
นึกถึงการเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นั้น จ่างซุนเสินหรงแค่นเสียงเฮอะเบาๆ อย่างเสียดสีคำหนึ่ง แล้วก็คิดถึงสีหน้าอวดดีของเขาในวันนั้นขึ้นมาอีกแล้ว นางเก็บม้วนหนังสือทันที ไม่อยากจะไปคิดถึงเงาร่างนั้นอีก จึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เปลี่ยนเสื้อให้ข้า ข้าจะเข้าไปดูในภูเขาสักหน่อยเหมือนกัน”
จื่อรุ่ยรีบไปจัดการเตรียมตัว
วันนี้อากาศไม่ค่อยดีนัก แสงแดดอ่อนจาง ลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอกๆ
จ่างซุนเสินหรงสวมชุดชาวหู สวมหมวกป่านเพื่อป้องกันลม หยิบแส้ม้าด้ามหุ้มผ้าไหมมาถือไว้ตั้งใจว่าจะขี่ม้าไป
ขณะกำลังจะออกจากประตูใหญ่ ก่วงหยวนที่ตามออกมาด้วยก็ถามว่า “ท่านผู้สูงศักดิ์แต่งกายเช่นนี้จะเข้าไปในภูเขาใช่หรือไม่ ต้องการให้ข้าส่งคนไปแจ้งที่จวนบัญชาการหรือไม่ขอรับ”
จื่อรุ่ยตอนนี้ถึงนึกได้ว่าทหารในหน่วยของจางเวยตามไปที่ภูเขากับคุณชายแล้ว เวลานี้พวกนางได้แต่พาพวกองครักษ์ของตระกูลไปด้วยเท่านั้น แต่วันนี้ประมุขน้อยถึงกับไม่ออกปากว่าอะไร
จ่างซุนเสินหรงจูงม้าที่องครักษ์เตรียมมาให้ ดีดตัวขึ้นไปนั่ง “ข้าไปก็พอแล้ว”
จื่อรุ่ยจึงหันไปทางก่วงหยวนแล้วส่ายหน้า ก่อนขึ้นขี่ม้าเตี้ยๆ ตัวหนึ่งตามไป นำขบวนองครักษ์ออกเดินทาง
ในเมืองวันนี้ก็มีบางอย่างพิเศษอยู่เหมือนกัน บนจุดที่สูงๆ ของบ้านเรือนร้านค้าสองข้างทางจำนวนไม่น้อยต่างเสียบดอกไม้ต้นไม้เอาไว้ เหมือนกับเป็นวันเทศกาลอะไรสักอย่าง
ตอนที่เกือบจะถึงประตูเมืองอยู่แล้วนั้น จื่อรุ่ยมองไปที่ไกลมากๆ ก็เห็นทหารขบวนหนึ่งหยุดอยู่ที่เชิงกำแพง ทหารแต่ละนายสวมเกราะอย่างเรียบร้อย ม้าล้วนดูแข็งแรง โกลนส่องประกายวาว นางขี่ม้าขึ้นไปข้างหน้าติดตามผู้เป็นนายให้ชิดขึ้น เอ่ยเตือนเสียงเบา “ประมุขน้อย นั่นคือทหารของจวนบัญชาการเจ้าค่ะ”
ผ้าป่านที่คลุมหน้าของจ่างซุนเสินหรงถูกยกขึ้นมาเพียงครึ่งเดียวเสมอขอบหมวก นางต้องเพ่งมองไปถึงได้เห็นกองทหารกลุ่มนั้น ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ พอมองไปทางด้านหลังของแถวทหารก็เห็นบุรุษในชุดสีดำเหมือนนายพรานเดินออกมา นางกลอกตาแล้วพูดว่า “ตรงไปต่อ ตอนนี้ข้าไม่อยากเห็นเขา”
จื่อรุ่ยขานรับ ไม่กล้าพูดอะไรให้มาก
จ่างซุนเสินหรงเบือนหน้าไปมองอีกด้านหนึ่ง จนใกล้จะถึงเชิงกำแพงเมืองอยู่แล้ว จู่ๆ ก็ร้องว่าหยุด และพูดว่า “เดี๋ยวก่อน”
จื่อรุ่ยรีบสั่งให้พวกองครักษ์หยุดลงทันที
จ่างซุนเสินหรงดึงบังเหียนบังคับม้าให้หันหัวกลับแล้วขี่ม้าตรงไปที่ริมถนน ที่นั่นมีร้านขายสมุนไพรเปิดหน้าต่างกว้าง ข้างในมีชั้นวางสมุนไพรเรียงเป็นแถวแน่นไปหมด
ที่นางดูอยู่กลับเป็นเสาต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่หน้าประตู บนเสาติดป้ายชื่อร้านเอาไว้ นี่ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด ที่น่าแปลกก็คือยอดบนสุดกลับมีต้นหญ้ามัดรวมเป็นกระจุกๆ เหมือนต้นหอมเอาไว้
จ่างซุนเสินหรงลงจากม้า เดินเข้าไปหยุดตรงประตูร้านนั้น แล้วแหงนเงยหน้าขึ้นดูต่อ
เถ้าแก่ที่อยู่ในร้านวิ่งออกมา “แขกท่านนี้อยากจะดูสมุนไพรอะไรขอรับ”
จ่างซุนเสินหรงยกแส้ม้าชี้ไปที่ยอดเสา “นั่นก็เป็นสมุนไพรในร้านของพวกเจ้าด้วยเหมือนกันหรือ”
เถ้าแก่ร้านประสานมือ ตอบรับว่า “ใช่ขอรับ”
“เอาลงมาให้ข้าดูหน่อย”
เถ้าแก่ร้านยิ้มเจื่อน “แขกผู้สูงศักดิ์คงจะต้องมาจากที่อื่นเป็นแน่ นั่นไม่ได้มีไว้ขาย วันนี้เป็นเวลาพิเศษ แต่ละบ้านในโยวโจวจะแขวนดอกไม้แขวนใบหญ้าเพื่อเป็นลางดีขอให้พ้นไปจากภัยสงคราม”
จ่างซุนเสินหรงมองไปทางจื่อรุ่ยแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังเข้าใจความหมายรีบควักเงินออกมาทันที
“ไม่ๆ” เจ้าของร้านพอเห็นดังนั้นก็ปฏิเสธทันที “สมุนไพรนี้ขายไม่ได้จริงๆ นี่เป็นของที่พวกเราเก็บมาได้เป็นกำสุดท้ายก่อนมีประกาศปิดภูเขา แขวนขึ้นไปแล้วเอาลงมาก็จะไม่เป็นมงคล”
จ่างซุนเสินหรงเดิมทียังสงสัยว่าสมุนไพรขนส่งมาจากที่อื่น พอได้ยินว่าเก็บมาได้ก่อนภูเขาจะปิดนางถึงกับเดินเข้าไปใกล้เสานั้นอีกก้าว “เอาลงมา ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะแขวนกลับขึ้นไปให้ใหม่ก็ได้”
“นี่…” เถ้าแก่ร้านรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ดีเลย แต่เมื่อมองเห็นองครักษ์กลุ่มใหญ่ที่ด้านหลังนาง ก็ไม่กล้าพูดว่า ‘ไม่’ อย่างที่อยากจะพูดแล้ว