จ่างซุนเสินหรงใกล้จะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ เงยหน้ามองดูอยู่ตลอดจนรู้สึกเมื่อยคอแล้ว จู่ๆ จากทางหางตาก็พลันเห็นที่ด้านข้างมีทหารปรากฏตัวขึ้นหลายนาย ทันทีที่หันไปข้างกายนางก็มีคนมาเพิ่มขึ้นอีกหลายคนแล้ว
เถ้าแก่ร้านตกใจจนสะดุ้ง รีบโค้งกายคารวะทันที “ท่านผู้บัญชาการซาน”
สายตาจ่างซุนเสินหรงกวาดมองจากน่องที่หุ้มด้วยรองเท้าขี่ม้าขึ้นไป ผ่านเอวที่กระชับแน่นตึงขึ้นไปจนเห็นคางของเขา นางแหงนหน้าอยู่พลันรู้สึกถูกกดที่ศีรษะคราหนึ่ง ใบหน้าขยับไม่ได้ จึงเลิกผ้าป่านขึ้นทันที
ซานจงเพิ่งมองเห็นนาง ตัวของนางเพียงยืนอยู่ที่หน้าร้านของผู้อื่นเช่นนี้ก็สะดุดตาอยู่แล้ว ยิ่งทำท่าทางเหมือนอยากจะสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นก็ยิ่งดูโดดเด่น เมื่อเห็นการกระทำของนางในขณะนี้เขาก็อดจะหยักโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้ นึกไปถึงสภาพการณ์ตอนที่อยู่ในจวนว่าการวันนั้นขึ้นมา ตัวนางกำเริบเสิบสานเสียขนาดนั้น แต่กลับยังเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเหตุผลอยู่
เขาช้อนตาขึ้นกวาดมองผ่านหัวเสาไป “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ซื้อหญ้า ไม่ได้หรือ” น้ำเสียงจ่างซุนเสินหรงเบาหวิว เขาช่างยุ่งวุ่นวายไปทุกเรื่อง ไม่เพียงยุ่งเรื่องที่นางจะแต่งหรือไม่แต่งงาน แล้วยังจะยุ่งเรื่องนางซื้อหญ้าให้ได้อีก ต่อให้เขาเป็นกฎหมายของโยวโจวที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้นก็จะทำแบบนี้ไม่ได้
ซานจงไม่พูดอะไร เพียงเอียงศีรษะมองยอดเสานั้นอยู่
เถ้าแก่ร้านก้าวขึ้นมาที่ข้างหน้า อธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ซานจงฟังด้วยเสียงเบาๆ
จ่างซุนเสินหรงชายตามองอีกที ภายใต้หมวกผ้าป่านคลุมศีรษะนางเห็นมือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนด้ามดาบ นิ้วชี้เคาะๆ อยู่ ทำท่าไม่แยแสสนใจ นางลอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจ ดาบก็เหมือนกับเจ้าของนั่นละ อ่อนแข็งต่างไม่กิน* ทั้งสิ้น
“อืม” เขาฟังจบแล้วก็โบกมือให้เถ้าแก่ร้านถอยไป และหันหน้ามาถาม “เจ้าอยากได้หญ้านี้ไปทำอะไร”
“ข้าใช้ประโยชน์ได้” จ่างซุนเสินหรงตอบ “บอกราคามาก็สิ้นเรื่องแล้ว ให้ข้าหาเหตุผลออกมาตั้งมากมายเพื่ออันใด ข้าก็แค่ขอดูหน่อยเดียวเท่านั้น”
“เอาแส้ม้ามาให้ข้า” เขาพูด
จ่างซุนเสินหรงงุนงงไปหมด ยังไม่ได้พูดอะไร มือของเขาข้างที่วางอยู่บนด้ามดาบเมื่อครู่นี้ก็ยื่นออกมาทันที คว้าอย่างว่องไวชิงแส้ม้าที่อยู่ในมือของนางไป
นางตกใจรีบเลิกผ้าป่านคลุมหมวกขึ้นทันที ก็เห็นเขาดึงแส้ที่ม้วนอยู่ให้เหยียดออก ยกแขนขึ้นสะบัดแส้อย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงา อาศัยรูปร่างสูงอันแสนได้เปรียบสามารถฟาดแส้ไปถึงยอดเสาอย่างแม่นยำในทันที แล้วหญ้ากำนั้นก็ร่วงตกลงมาที่พื้น
“ก็ไม่ใช่ว่าแขวนหญ้าแล้วจะขู่ขวัญพวกนอกด่านได้เสียหน่อย เอาลงมาแล้วก็แล้วกันไป” เขาพูดกับเถ้าแก่ร้าน
“ขอรับ…” เถ้าแก่ร้านได้แต่ตอบรับอย่างเดียว
ซานจงม้วนแส้กลับคืนสู่สภาพเดิม ยื่นส่งให้นาง
สายตาจ่างซุนเสินหรงวนเวียนอยู่ที่ร่างของเขาอย่างช้าๆ รอบหนึ่ง กำลังคิดว่านี่เขาหมายความว่าอะไร…นางไม่ยอมรับแส้
ซานจงหัวเราะเบาๆ เสียงยิ่งกดต่ำลงไปอีก “ต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าก็กำเริบเสิบสานให้น้อยลงหน่อย เชื่อฟังวาจาให้มากหน่อย ข้าก็จะพูดให้ดีขึ้นหน่อยเหมือนกัน”
จ่างซุนเสินหรงสีหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที แย่งแส้มา แล้วก็ดึงผ้าป่านลงคลุมหน้าอีกครั้ง
เถ้าแก่ร้านเก็บหญ้ากำนั้นขึ้นประคองสองมือส่งให้จ่างซุนเสินหรง “ก็แค่เครื่องรางมงคลกำหนึ่งเท่านั้น ลูกค้าผู้สูงศักดิ์ต้องการก็รับไปเลยแล้วกัน”
จ่างซุนเสินหรงรับมา พลิกไปพลิกมาดูอยู่สองสามเที่ยว เอาก้าน ราก ใบ ทุกอย่างล้วนดูอย่างละเอียดเที่ยวหนึ่ง และพูดว่า “นี่เรียกว่าเครื่องรางมงคลอะไรกันเล่า นี่คือต้นเซี่ย!*” พูดจบนางก็หันกายไปขึ้นม้า
ซานจงเดินไปจนถึงกลางแถวทหาร มองเห็นนางขี่ม้าพุ่งออกจากเมืองไป ก็รู้ว่านางน่าจะเข้าไปในภูเขาอีกครั้ง เดินทางเช่นนี้อีกแล้ว ยังคงใจกล้าถึงเพียงนี้
“ขึ้นม้า” เขาพลิกตัวขึ้นม้า ออกคำสั่ง “ทั้งหมดไปกับข้า”
ตอนที่จ่างซุนเสินหรงตรงดิ่งเข้าไปในภูเขาจ่างซุนซิ่นก็ได้รับข่าวแล้ว จึงรีบเข้ามาพบนาง
“เหตุใดถึงรีบมาถึงเพียงนี้” พอเห็นหน้านางเขาก็ถามทันที
จ่างซุนเสินหรงขี่ม้ามาเร็วเกินไปจนหมวกเอียงเฉไปแล้ว นางยกมือขึ้นดันๆ เล็กน้อย “แจ้งตงไหลว่าตอนที่ขุดเจาะต้องสังเกตรากหญ้าดีๆ ถ้าพบแล้วให้ขุดให้ลึก” นางคิดๆ แล้วก็หยิบม้วนหนังสือในถุงผ้าปักลายออกมาอีก คลี่ออกจนถึงส่วนที่ต้องการ อ่านดูอยู่สักพักก็เอ่ยปากว่า “ให้ขุดแต่ที่ตาภูเขานั่นเท่านั้น”
จ่างซุนซิ่นแม้จะแปลกใจก็ยังคงสั่งให้คนรีบไปบอกกับตงไหลทันที พอหันหน้ามาก็ถามอีกว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่องนี้หรือ…”
พูดยังไม่ทันขาดคำเขาก็ได้ยินเสียงจางเวยดังขึ้น “ท่านหัวหน้ามาอีกแล้วหรือ”
เสียงหูสืออีดังเบาๆ “ก็ต้องเป็นเพราะคุณหนู…”
ประโยคข้างหลังจ่างซุนเสินหรงฟังไม่ถนัด
นางเดินไปทางด้านนั้นหลายก้าว เห็นซานจงถือดาบเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นางก็พินิจพิจารณา “กลัวว่าจวนบัญชาการของท่านจะต้องรับผิดชอบอีกแล้วหรือไร”
ซานจงตอบ “เจ้ารู้แล้วยังจะต้องถามอีก?”
จ่างซุนเสินหรงดึงผ้าป่านลงมาบังหน้าเอาไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็สะบัดหน้าเดินจากไป คิดในใจว่า ใครกันแน่ที่อุกอาจโอหัง