จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 11-บทที่ 13
นางเองก็เพิ่งเคยมาสถานที่เช่นนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่เนื่องจากครั้งนี้ที่ค้นพบคือเหมืองทอง ภาระรับผิดชอบใหญ่หลวงยิ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบของจริงมาก่อนในชีวิต จึงจำเป็นต้องป้องกันข่าวรั่วไหล เพราะไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ตั้งอยู่แถบชายแดน
แม้จวนบัญชาการทหารจะตื่นตัวระแวดระวังมากกว่าพวกชาวบ้าน แต่ตัวทหารก็แบกภาระรับผิดชอบอันหนักหนาสาหัสแล้ว ไม่เหมาะที่จะดึงมาทำหน้าที่คนงานใช้แรงงาน และก็คาดว่าบุรุษผู้นั้นคงจะไม่ตกปากรับคำด้วยแน่นอน อันที่จริงการตัดสินใจใช้นักโทษคือความคิดที่จ่างซุนเสินหรงเสนอต่อจ่างซุนซิ่น
จ้าวจิ้นเหลียนที่เดินอยู่ข้างหน้ากังวลว่านางจะกลัว จึงพูดอย่างมีน้ำใจ “อันที่จริงคุณหนูพูดแค่คำเดียว ข้าไปจัดการพร้อมกับผู้บัญชาการซานก็ได้ ไยคุณหนูต้องเข้ามาในสถานที่เคราะห์ร้ายนี้ด้วยตนเอง”
จ่างซุนเสินหรงพูดไปโดยไม่ต้องคิด “ท่านผู้ว่าการจ้าวสามารถมาด้วยตนเองได้ แล้วข้ายังจะบอกว่าที่นี่เคราะห์ร้ายได้อย่างไรกัน” นางมาเลือกคนด้วยตนเองแน่นอนว่ายังคงเป็นเพราะแร่ แม้แต่บรรดาองครักษ์สกุลจ่างซุนที่ติดตามมาโยวโจวในครั้งนี้ก็ล้วนแต่เป็นนางคัดเลือกมาเองกับมือทั้งสิ้น
เมื่อกล่าวจบนางก็เข้าไปในพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง นักโทษในห้องขังทั้งหมดนี้ล้วนถูกเนรเทศมา ต่างก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
จ่างซุนเสินหรงดึงหมวกให้คลุมต่ำลงมาอีก บังปากและจมูกเอาไว้ ไล่สายตากวาดผ่านนักโทษกลุ่มนั้นแล้วส่ายหน้า
ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นคนที่อายุมากแล้ว ทั้งผอมและอ่อนแอ น่ากลัวว่าพอเข้าไปในภูเขาได้ไม่กี่วันก็คงจะตายเสียก่อน จะเอาไปใช้งานได้เสียที่ใดกัน
จ้าวจิ้นเหลียนเห็นเช่นนี้ก็โบกมือไปทางผู้คุม “ถ้าอย่างนั้นช่างมันก่อนเถิด คุณหนูมาแทนพี่ชายก็หายากมากแล้ว หลังจากนี้ข้าจะสั่งให้คนคัดเลือกสักรอบก่อน แล้วค่อยส่งไปให้พี่ชายท่านตัดสินใจก็ได้”
จ่างซุนเสินหรงไม่กล่าวอะไร เพียงมองดูพวกผู้คุมคุมตัวนักโทษกลุ่มนั้นกลับไป พอดูอีกรอบก็ยังคงผิดหวัง
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าในนักโทษกลุ่มนั้นมีคนคนหนึ่งมองนางอยู่ พอนางมองไปก็พบว่าเขาเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง สวมชุดนักโทษ สองแก้มล้วนตอบยุบลงไป
นักโทษทั้งหมดล้วนไม่กล้าเงยหน้า มีเขาคนเดียวที่กล้าจ้องนาง
จ่างซุนเสินหรงอดมองพิจารณาเขาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากพิจารณาดูคราวนี้ ฝ่ายตรงข้ามกลับโผเข้ามาหา “เจ้าคือ…เจ้าคือบุตรสาวของสกุลจ่างซุน?!”
จ่างซุนเสินหรงเห็นเขาจำนางได้หัวคิ้วก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็จำเขาขึ้นมาได้เช่นกัน
หลายวันก่อนตอนที่บิดาของนางเขียนจดหมายมาบอกว่าราชเลขาธิการพ้นจากตำแหน่ง ถูกฮ่องเต้องค์ใหม่ตัดสินลงโทษเนรเทศพันหลี่โดยไม่ไว้ไมตรี คิดไม่ถึงว่าถูกเนรเทศมาที่โยวโจวนี้เอง คนที่อยู่ตรงหน้านี้จะไม่ใช่ท่านราชเลขาธิการได้อย่างไร
ราชเลขาธิการหลิ่วเฮ่อทง เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับความโปรดปรานไว้วางใจในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน จ่างซุนเสินหรงจำเขาได้แล้ว
จ้าวจิ้นเหลียนจู่ๆ ก็เห็นมีคนต่อต้านขัดขืน จึงออกคำสั่งทันที “จับเอาไว้!”
หลิ่วเฮ่อทงถูกผู้คุมสองคนกดให้คุกเข่าลงกับพื้น ก็ยังคงพยายามขยับตัวมาทางจ่างซุนเสินหรงให้ได้ โซ่ตรวนที่มือเคาะพื้นเสียงดังเคร้งคร้าง “หลานสาว! ข้าคือราชเลขาธิการหลิ่วเฮ่อทงนะ! เจ้าช่วยข้าที คืนนั้นตอนที่ข้าถูกคุมตัวมาเห็นคุณชายใหญ่สกุลซานแล้ว! เจ้ารีบช่วยข้าผ่อนผันกับเขาหน่อย ข้าจะถวายฎีกา! ข้าจะรื้อฟื้นคดี!”
เขาอ้าปากก็เรียก ‘หลานสาว’ ทำเอาจ้าวจิ้นเหลียนนิ่งอึ้งไปแล้ว
จ่างซุนเสินหรงเม้มปาก วันนั้นในจวนว่าการซานจงพูดถึงนักโทษจากเมืองหลวงที่ถูกคุมตัวมาถึงในคืนนั้น…ที่แท้ก็คือเขา
หลิ่วเฮ่อทงตอนที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักรู้จักผู้ทรงอำนาจมามากมายก็ไม่แปลก ทว่านางแม้แต่วาจาก็ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน ยามนี้ถึงกับกลายเป็นญาติของเขาไปเสียได้ มิหนำซ้ำยังเรียกให้นางไปขอผ่อนผันโทษกับซานจงอีก ช่างเป็นการไขว่คว้าทุกอย่างในยามวิกฤตจริงๆ
“ข้าจะผ่อนผันให้ท่านได้อย่างไร” คิ้วนางขมวดแน่น
หลิ่วเฮ่อทงรีบพูด “ผ่อนผันได้แน่นอน เจ้าเป็นฮูหยินของเขานี่!”
จ่างซุนเสินหรงสีหน้าแข็งทื่อ สะบัดแขนเสื้อจากไป ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว “เจ้าน่ะสิถึงเป็นฮูหยินของเขา!”
จ้าวจิ้นเหลียนที่ถูกทิ้งไว้เพียงผู้เดียวมองดูหลิ่วเฮ่อทงด้วยสีหน้าตกตะลึง สงสัยว่าตนเองฟังผิดไปใช่หรือไม่
หลิ่วเฮ่อทงได้สติกลับมา ทุบกำปั้นลงกับพื้นอย่างเดือดดาล “ใช่แล้ว ข้าถึงกับลืมไปว่าพวกเจ้าแยกทางกันแล้ว!”
จ่างซุนเสินหรงเดินผ่านห้องขังแถบนี้ไปแล้ว ถึงได้รู้สึกตัวว่าจ้าวจิ้นเหลียนไม่ได้ตามมาด้วย นางมองตรงไปข้างหน้าพบว่าข้างในยังมีพื้นที่อีกมากมาย จึงเรียกผู้คุมที่อยู่ข้างๆ ให้นำทาง คิดจะไปดูสักหน่อย
ยิ่งนางเดินลึกเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งมืดครึ้มลงทุกที ผู้คุมหยุดเดิน “ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดระวัง ที่นี่คือคุกใต้ดินแล้ว ผู้บัญชาการซานมีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้”
จ่างซุนเสินหรงเดินตรงไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว เห็นประตูบานใหญ่สีดำสนิทบานหนึ่งปิดอย่างสนิทมิดชิด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นางเตรียมตัวจะหันกลับไปด้านในนั้นก็มีเสียงดังปังสนั่นหวั่นไหวขึ้นทันที ดังลั่นมาถึงหน้าประตู
ทันทีที่มีเสียงดังสนั่นนี้ขึ้นประตูก็ถูกเคาะจนเกิดเสียงดัง นางถอยไปก้าวหนึ่ง จู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ฟาดอย่างหนักหน่วงไปบนพื้นที่ข้างๆ ตัวนางเพื่อต้านประตูเอาไว้
จ่างซุนเสินหรงหันกลับไปก็ปะทะเข้ากับบ่ากว้างของบุรุษ เงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของซานจง นางค่อนข้างจะประหลาดใจ “นั่นเสียงอะไร”
ซานจงหลุบตามองนาง “ที่ขังอยู่ในคุกใต้ดินย่อมต้องเป็นพวกที่เลวร้ายที่สุดแน่นอน สำแดงความน่ากลัว ต่อสู้กันอย่างอำมหิต ล้วนมีทั้งสิ้น มีเสียงบ้างจะนับเป็นอะไรได้ เจ้าอยู่ให้ห่างที่นี่หน่อยเถอะ”
จ่างซุนเสินหรงได้สติกลับมา ตอนนี้เองถึงได้รู้ว่านางอยู่ใกล้กับเขามาก มือของเขายันอยู่ข้างตัวนาง เหมือนกับกักตัวนางเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น หันหน้าไปแค่นิดเดียวก็จะชนเข้ากับคางของเขาแล้ว ริมฝีปากของเขาหยักโค้งขึ้นเล็กน้อย
เพิ่งจะฟังหลิ่วเฮ่อทงพูดจาเหลวไหลเรื่องนั้นจบ ตอนนี้ซานจงก็อยู่ตรงหน้านางนี้เอง นางจ้องคอเสื้อที่ตลบขึ้นมาของเขา บนนั้นมีลวดลายเล็กละเอียดซ่อนอยู่ สายตานางขยับเล็กน้อย “ท่านมาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
ซานจงยันประตูไว้จนมั่นคงแล้วถึงค่อยปล่อยมือ “ข้าสิอยากจะถามเจ้า เข้าไปภูเขาก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้ถึงกับสามารถเข้ามาในคุกได้แล้ว? เจ้าใจกล้ามากถึงเพียงนี้มาตลอดเลยหรือ”
จ่างซุนเสินหรงขบริมฝีปากเล็กน้อย จับจ้องคางของเขา “นี่จะนับเป็นอะไรได้ ข้ายังมีตอนที่ใจกล้ามากกว่านี้อีก ท่านอยากจะดูสักหน่อยหรือไม่เล่า”
ซานจงประจันสายตากับนาง โน้มร่างเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น แล้วสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ บนร่างนาง พูดเสียงค่อนข้างเบา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สงบเสงี่ยมลงหน่อย”
จ่างซุนเสินหรงคิดในใจว่า ข้าจะต้องไม่สงบเสงี่ยมอย่างเด็ดขาด
ไกลออกไป เงาร่างของจ้าวจิ้นเหลียนเดินเข้ามาแล้ว
จ่างซุนเสินหรงยกมือขึ้นลูบจอนผม ก่อนจะเดินออกไปก็หันไปเลิกคิ้วเล็กน้อยใส่เขาพลางยิ้ม “ท่านเองก็รู้ว่าข้าเพิ่งจะทำงานใหญ่อะไรสำเร็จมา ต่อไปคงต้องเกรงใจข้าสักหน่อย”
ร่างในอาภรณ์หอมกรุ่นเคลื่อนขยับ ซานจงหลีกทางปล่อยนางผ่านไป นัยน์ตายังคงจ้องอยู่ที่ร่างของนาง จากนั้นในใจก็พลันคิดขึ้นมา นางพูดว่านั่นคืองานใหญ่ที่นางทำสำเร็จ?
เขามองไปที่เงาหลังของจ่างซุนเสินหรงอีกครั้ง ส่งสัญญาณให้ผู้คุมเฝ้าคนให้ดีแล้วก็ออกไป
อีกทางด้านหนึ่งจ้าวจิ้นเหลียนเดินไปส่งจ่างซุนเสินหรงอย่างเกรงอกเกรงใจหลายก้าว หันกลับมาก็ยกมือตั้งขึ้นมาเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้ซานจง “ท่านรอเดี๋ยว” เขาไล่คนรอบข้างออกไป พูดเสียงเบา “เดิมข้านึกว่าท่านกับรองเสนาบดีจ่างซุนเคยมีเรื่องขัดแย้งกัน วันนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ มิน่า ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าสกุลซานกับสกุลจ่างซุนมีบางอย่างเกี่ยวข้องกันอยู่…”
จ้าวจิ้นเหลียนไม่เหมือนกับพวกหูสืออี คนพวกนั้นหลังจากที่ซานจงออกจากสกุลซานแล้วถึงค่อยติดตามอยู่ข้างกายเขา จึงไม่ค่อยรู้ความเป็นมาเป็นไปของเขากระจ่างแจ้งนัก
ยามนี้จ้าวจิ้นเหลียนอยากรู้เรื่องให้มากขึ้นสักหน่อย ตนจำได้ว่าซานจงรับหน้าที่ผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองส่วนท้องถิ่นนี้เมื่อสามปีก่อนพอดี ตอนนั้นซานจงกับภรรยาคนงามที่เพิ่งจะแต่งงานกันก็หย่าร้างกันไปแล้ว ซ้ำยังออกจากตระกูลอันยิ่งใหญ่ที่ลั่วหยางอีก
เวลานั้นเขาไม่เคยได้ตรวจสอบอย่างละเอียด เพียงเพราะว่าเป็นเรื่องในตระกูลของซานจง ตอนนี้ถูกหลิ่วเฮ่อทงนั่นก่อกวนไปรอบหนึ่ง ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นตระกูลฝ่ายภรรยาของเขาดูเหมือนว่าจะเป็นสกุลจ่างซุนนั่นเอง ทว่าตอนนั้นที่อยู่ในจวนว่าการเขาก็ยังไปหยอกเย้าสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ว่ายังไม่ได้แต่งงานอยู่เลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก จ้าวจิ้นเหลียนลูบเคราสั้นๆ ของตนพลางเอ่ยถามเสียงจืดเจื่อน “ข้าจำผิดไปใช่หรือไม่ จ้าวกั๋วกง…มีบุตรสาวกี่คนนะ”
ซานจงก็ไม่ปิดบังจ้าวจิ้นเหลียนแล้ว เขาเดินขึ้นมา ครั้นเบือนหน้าไปก็ยังสามารถมองเห็นเงาร่างอรชรที่ตั้งตรงของสตรีนางนั้นได้ “ไม่ต้องถามแล้ว นางก็คืออดีตภรรยาของข้า”
เชิงอรรถ
* เหอซั่ว พื้นที่ทางตอนเหนือของแม่น้ำหวงเหอ รวมถึงบางส่วนของซานซี เหอเป่ย และซานตง
* กระโปรงหรูฉวิน เป็นชุดแต่งกายชาวฮั่นนิยมในหมู่สตรีในสมัยราชวงศ์ซ่ง ท่อนบนเป็นเสื้อตัวสั้น ท่อนล่างเป็นกระโปรงสอบ มีสายผูกรอบลำตัวขับเน้นช่วงใต้อกหรือเอวให้เด่นชัด
* ต้นเซี่ย หรือต้นแซ่ เป็นพืชชนิดหนึ่งมีหัวเป็นกลีบซ้อนๆ อยู่ใต้ดิน ใบยาว ดอกสีม่วง ช่อดอกเป็นรูปกลม หัวที่ใต้ดินใช้กินได้
** หินเฟินจื่อ ในตำราสมัยโบราณของจีนระบุว่าเมื่อขุดลงไปในดินลึกจนถึงหินเฟินจื่อ จะมีด้านหนึ่งเป็นสีดำไหม้ ใต้หินเฟินจื่อลงไปจะพบทองคำ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 65)