จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 3-บทที่ 4
จ่างซุนเสินหรงเห็นที่มุมหน้าผากของเขามีรอยแผลสายหนึ่งลากไปจนถึงหางตา เลือดเพิ่งจะหยุดไหล ทั้งยังบวมเป่งอยู่ อีกนิดก็จะทำร้ายถึงดวงตาของเขาแล้ว นางจึงดูตามร่างกายของเขาอีกครั้ง เขาใช้มือซ้ายถืออาวุธเอาไว้ ที่หลังมือขวาก็มีรอยแผลในลักษณะเดียวกัน ตรงข้อมือก็มีรอยแผลแตกอีกสองรอยด้วย
ต่อให้เป็นคนโง่ก็ดูออกว่าแผลพวกนี้มาได้อย่างไร สายตาของนางกวาดไปทางชายฉกรรจ์ผู้นั้น “พวกเจ้ากล้าลงมือหรือ!”
ชายฉกรรจ์นิ่งอึ้งไป แล้วค่อยตอบกลับ “แค่รอยแส้ไม่กี่รอยเท่านั้น เขาไม่ยอมเชื่อฟัง แล้วก็ไม่ยอมพูดถึงที่มา นี่เป็นกฎของกองทัพ”
ดวงตาของจ่างซุนเสินหรงดุดันขึ้นทันที “กฎของกองทัพอันใด เขาเป็นทหารของที่นี่หรือ!”
ชายฉกรรจ์ชะงักงันไปทันที ปากอ้าๆ หุบๆ ถึงกับสรรหาคำพูดมาโต้แย้งไม่ออกไปชั่วขณะ
จ่างซุนเสินหรงไม่อาจทนเฉยได้ ตงไหลไม่เพียงเป็นองครักษ์ส่วนตัวของนางเท่านั้น เขายังต้องไปสำรวจภูมิลักษณ์ให้กับนางด้วย ตอนนี้มือได้รับบาดเจ็บยังไม่ต้องพูดถึงดวงตาที่เกือบถูกทำลาย ย่อมต้องทำให้งานของนางล่าช้า เรื่องอื่นยังพอพูดกันได้แต่เรื่องนี้นางไม่ยอมจบแน่
“ผู้ใดทำ” นางถามตงไหล
ตงไหลเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “ประมุขน้อย พวกเขาเป็นหน่วยรักษาการณ์นะขอรับ”
จ่างซุนเสินหรงเลิกคิ้ว “แล้วอย่างไรเล่า หน่วยรักษาการณ์ก็สามารถลงไม้ลงมืออย่างไร้เหตุผลได้หรือ”
ช่างน่าขัน! ข้าจ่างซุนเสินหรงไม่มีทางถูกข่มขู่ได้สำเร็จหรอก!
นางพลันชำเลืองมองชายฉกรรจ์ผู้นั้นอีก “ผู้ใดทำ!”
ชายฉกรรจ์กลับไม่ได้โง่ ตอบอย่างเลี่ยงปัญหา “พวกเราก็แค่ทำตามกฎหมาย หากท่านผู้สูงศักดิ์รู้สึกขุ่นเคือง จวนบัญชาการทหารสามารถชดเชยให้ตามกฎหมายเป็นเงินหนึ่งร้อยเหวิน* ได้” ฟังจากน้ำเสียงของเขา ยังนับได้ว่ายอมอ่อนข้อให้แล้ว
“เงินรึ” จ่างซุนเสินหรงยื่นมือไปทางด้านข้าง
จื่อรุ่ยรีบหยิบถุงเงินจากในอกเสื้อวางลงไปบนมือจ่างซุนเสินหรง
นางรับมาแล้วก็โยนไปที่ข้างเท้าเขา ถึงกับเป็นเงินเต็มถุง
สกุลจ่างซุนของนางแม้แต่เหมืองก็ยังมี จะมาสนใจกับเงินเพียงเท่านี้หรือ
“ในนี้มีมากกว่าร้อยเท่า พอที่จะให้เจ้ามอบตัวคนที่ลงมือออกมาได้หรือไม่”
ชายฉกรรจ์ยกเท้าขึ้นเล็กน้อยเพราะความตกใจ แล้วมองนางอย่างประหลาดใจ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเก็บเงินนั้นขึ้นมาได้ ทำได้เพียงพูดว่า “ลงมือในช่วงเวลาที่ชุลมุนวุ่นวาย เลยแยกไม่ออกว่าผู้ใดเป็นผู้ใดแล้ว!”
จ่างซุนเสินหรงกลอกตารอบหนึ่ง “ก็ได้ เช่นนั้นคนที่ออกคำสั่งพวกเจ้าคือใคร คงจะแยกได้ชัดกระมัง”
ชายฉกรรจ์มีสีหน้าแข็งทื่อไปทันทีอย่างช่วยไม่ได้ แวบแรกที่ได้เห็นสตรีผู้นี้เขาก็รู้สึกเพียงนางงดงามจนผู้คนต้องตะลึง ราวกับเดินออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น แต่เวลานี้กลับถูกท่าทางของนางขู่ขวัญจนนิ่งงันไปแล้ว เขาเพียงอยากจะจบเรื่องให้รวดเร็ว จึงตัดสินใจพูดว่า “ข้า…ที่ออกคำสั่งที่นี่ก็คือข้า!”
สายตาจ่างซุนเสินหรงกวาดผ่านเขาไป “ดูจากชุดของเจ้า อย่างมากสุดก็เป็นแค่นายกอง จวนบัญชาการที่ใหญ่โตปานนี้ เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอหรอก”
ชายฉกรรจ์ถูกตอกหน้าหงายไปแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าสายตาของนางจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
นัยน์ตาดำเป็นประกายของจ่างซุนเสินหรงกวาดมองไปโดยรอบ “เรียกคนที่เป็นหัวหน้าของพวกเจ้ามา”
ไม่มีผู้ใดตอบ ทหารทั้งกองในที่นั้นต่างเอาแต่จ้องมองนาง
จ่างซุนเสินหรงกวาดตามองรอบหนึ่ง แล้วสายตาก็พลันจับอยู่ที่โถงว่าการในเรือนใหญ่แห่งนั้น พลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ชายฉกรรจ์ผู้นี้ก็ออกมาจากข้างในนั้น เมื่อครู่ยังส่งทหารเข้าไปข้างใน คงจะต้องไปรายงานสถานการณ์แน่นอน นางจึงยกเท้าแล้วเดินตรงไปที่นั่น
ตอนที่ชายฉกรรจ์ไล่ตามไปก็สายเสียแล้ว เงาร่างอรชรของนางประหนึ่งสายลมตรงดิ่งไปที่ประตูใหญ่ เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นและก้าวเข้าไปแล้ว
ในห้องโถงปิดหน้าต่างอยู่ แสงค่อนข้างจะสลัวมัว ที่นี่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งด้วยเช่นกัน ทุกคนที่เดิมทีกำลังพักผ่อนเพราะผลัดเปลี่ยนเวร บ้างยืนบ้างนั่งบ้างกัดแทะแผ่นแป้งและดื่มน้ำอยู่ ชั่วขณะนี้ก็พลันส่งสายตาจับจ้องมา บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที
“เอ่อ…” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นไล่ตามมา เพิ่งจะร้องได้ครึ่งคำก็กลืนกลับลงไปทันควัน แล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตู
สายตาของจ่างซุนเสินหรงกวาดมองไปรอบหนึ่ง สีหน้าไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่นิด “หัวหน้าของพวกเจ้าเล่า ให้เขาออกมา”
เครื่องแต่งกายของคนกลุ่มนี้เหมือนกับชายฉกรรจ์ผู้นั้น ล้วนถูกต้องตามระเบียบแบบแผน โดยสวมเสื้อเกราะทับเสื้อตัวสั้นแบบชาวหู* ที่สะดวกต่อการขี่ม้ายิงธนู ดูท่าล้วนเป็นพวกระดับนายกองทั้งสิ้น นางตัดสินได้ว่าที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว นับเป็นจวนบัญชาการทหารที่ใหญ่โตจริงๆ
แต่เมื่อทุกคนได้ยินคำถามต่างก็หันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วก็เอาแต่มองสำรวจนางอย่างเปี่ยมด้วยความสนใจ ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นที่ขวางนางไม่อยู่จึงเข้ามาถามอย่างจนปัญญา “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ ที่แท้ท่านจะทำอะไรกันแน่”
“ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เจ้าว่าควรทำเช่นไรเล่า” จ่างซุนเสินหรงกล่าวย้อนกลับไป “ในเมื่อไม่อาจให้คนของข้าฟาดกลับคืนไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็เรียกหัวหน้าของพวกเจ้าออกมาขอโทษด้วยตนเองสิ”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเบิกตาโพลงแล้ว มีที่ใดกันที่ตีบ่าวรับใช้ของบ้านหนึ่งแล้วต้องให้ผู้ปกครองของทั้งจวนบัญชาการออกมาขอโทษด้วย? สตรีผู้นี้อายุยังไม่มาก เหตุใดถึงได้รับมือยากเย็นเพียงนี้!
จ่างซุนเสินหรงเองก็ไม่พูดไร้สาระให้มากความ พูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน
อาจเป็นเพราะท่าทีในการกล่าววาจาคราวนี้ของนางหนักหนาเกินไป คนที่นั่งอยู่ในที่นั้นทั้งหมดจึงยืนขึ้น เหมือนกับต้นหอมที่ถูกถอนจากดินแห้งๆ พากันขวางทางไปของนางเอาไว้อย่างมิดชิด
จ่างซุนเสินหรงชายตามอง “มีอันใด นี่คือกล้าทำไม่กล้ารับ?”