จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 3-บทที่ 4
องครักษ์ของนางก็ตามเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นก็กรูเข้ามาคุ้มครอง พวกที่อยู่ในที่นั้นน่าจะเป็นทหารทั้งหมด แล้วก็ยังมียศตำแหน่งด้วย เป็นพวกใจดีมีเมตตาที่ใดกัน จึงเปลี่ยนท่าทีจากผ่อนคลายเป็นหยิบอาวุธมาถืออยู่ในมือทันที ทางนี้ก็มาจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ของฉางอันด้วยเหมือนกัน มือต่างกดอยู่บนดาบที่พกติดตัวมา
หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะแย่แล้ว ชายฉกรรจ์ผู้นั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาขวางอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย “เอาล่ะๆ พวกเรามีอะไรก็พูดจากันดีๆ ได้หรือไม่”
จ่างซุนเสินหรงยกมือขึ้นลูบจอนผม ถามกลับว่า “ข้าก็แค่อยากให้หัวหน้าของพวกเจ้าออกมาพูดกับข้าเท่านั้น ใครกันที่ไม่พูดจากันดีๆ”
ชายฉกรรจ์ไม่เคยพบเจอสตรีตัวคนเดียวที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้วยังสงบนิ่งได้มาก่อน แต่ด้วยสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงเยี่ยงนี้เมื่อปรากฏบนร่างนางแล้วกลับดูเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด เขาพูดไม่ออก แล้วก็ไม่อาจเสียมารยาทเข้าไปประชิดตัวนางได้ จึงได้แต่บังคับตนเองให้ถอยไปสองก้าวแล้วค่อยขวางเอาไว้ต่อ
จ่างซุนเสินหรงมองตรงตำแหน่งที่นั่งของหัวหน้า ไม่สนใจพวกทหารที่สกัดกั้นกีดขวางสายตาพวกนั้น ยังคงก้าวไปข้างหน้า
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นขวางไปพลางถอยไปพลาง ถอยกรูดจนไปถึงกลุ่มคนพวกเดียวกันที่ปิดทางอยู่ จวบจนไม่มีทางให้ถอยได้อีกแล้ว สีหน้าเขาก็ย่ำแย่มาก
“พอแล้ว”
จู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษทุ้มต่ำดังมา
ทันใดนั้นกลุ่มคนที่ขวางทางอยู่ก็กระจายตัวออกไปจนหมด
จ่างซุนเสินหรงหันหน้าไปตามเสียง ทางด้านขวามือห่างออกไปประมาณสิบกว่าก้าวมีคนนั่งอยู่ ตรงนั้นมีชั้นวางอาวุธสูงใหญ่ตั้งอยู่แถวหนึ่ง ทำให้รอบด้านดูมืดสลัวยิ่งขึ้น นางเห็นเพียงเค้าร่างคนผู้นั้นที่เก็บเท้า นั่งอย่างตามสบายอยู่หน้าชั้นวางหันหน้ามาทางนาง และก็ไม่รู้ว่ามองอยู่เช่นนี้มานานเท่าใดแล้วเหมือนกัน
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว พูดเสียงเบา “ท่านหัวหน้า ท่านก็เห็นหมดแล้ว ข้าเองก็หมดปัญญาจริงๆ”
จ่างซุนเสินหรงได้สติกลับมา หันไปมองตำแหน่งที่นั่งหัวหน้า ไม่มีคนอยู่จริงเสียด้วย นางนึกว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าต้องนั่งที่ตำแหน่งหัวหน้าเสียอีก ใครเลยจะรู้ว่าเขากลับมานั่งอยู่ในตำแหน่งซึ่งไม่สะดุดตาอะไรเลยเช่นนี้ ตั้งแต่ข้าเข้ามาจนถึงตอนนี้ก็ดูอยู่อย่างนี้?
นางหันกลับมาอีกหน จ้องเงาร่างที่ถูกชายฉกรรจ์บังไปกว่าครึ่ง ที่เห็นอย่างชัดเจนที่สุดคือชายเสื้อสีดำถูกปล่อยลงให้หุ้มน่องที่อยู่ในรองเท้าหนังเอาไว้ มือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนหัวเข่า เห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจน
“ท่านหรือ” นางคิดในใจ นับว่ายอมโผล่หน้าออกมาแล้วสินะ
มือข้างนั้นยกขึ้นมา ชั่วครู่เดียวชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็เดินออกไปด้านข้างอย่างเชื่อฟังแล้ว
“ข้าเอง” เขากล่าว “ขออภัยด้วย เท่านี้ได้แล้วหรือไม่”
รอบด้านล้วนมองไปที่เขา โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ผู้นั้นที่ราวกับเห็นภูตผีวิญญาณก็ไม่ปาน เหลือบมองเขาอยู่ตลอดเวลา
จ่างซุนเสินหรงจ้องเขา ลักษณะการพูดของคนผู้นี้ออกจะตรงๆ ทื่อๆ ทำให้นางแปลกพิกลอยู่เล็กน้อย เหมือนว่าเขาคิดจะพยายามไกล่เกลี่ยแล้วก็รีบๆ ไล่นางกลับไปอย่างไรอย่างนั้น
คนผู้นั้นก็มองนางอยู่เช่นกัน
จ่างซุนเสินหรงพลันค้นพบว่าประกายตาของเขาดำมืดยิ่งนัก ยามที่มองมาถึงกับดูมีเจตนาร้ายอยู่หลายส่วน เมื่อนางหรี่ตามองอย่างละเอียดกลับมองเห็นความคุ้นตาขึ้นมาเล็กน้อย ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เสียงก็ค่อนข้างคุ้นหูอยู่บ้าง
ทันทีที่เกิดความคิดนี้ขึ้นมาเท้าก็ก้าวเข้าไปโดยไม่ต้องคิด มุ่งเดินไปตรงหน้าเขา
คนผู้นั้นยังคงอยู่ในท่านั่งตามสบายเช่นเดิม เมื่ออยู่ใกล้ๆ นางถึงเห็นชัดเจนว่าข้างต้นขาของเขามีดาบที่สอดอยู่ในฝักเล่มหนึ่งวางพิงอยู่ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนเข่า แขนอีกข้างวางอยู่บนโต๊ะข้างตัว บนนั้นยังมีแผ่นหนังที่ใช้ป้องกันแขนและขาที่เพิ่งถอดออกมาวางเอาไว้
เมื่อเขาเห็นจ่างซุนเสินหรงเข้ามาใกล้ก็เอนร่างไปทางด้านหลังเล็กน้อย และเงยหน้าขึ้น
สายตาของจ่างซุนเสินหรงกวาดไปทั่วใบหน้าของเขาทีละเล็กทีละน้อย มองแล้วก็มองอีก ฉับพลันนั้นก็เบิกตาจนกลมโต
ทั้งสองต่างไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด เพราะต่างก็คาดไม่ถึงว่าจะได้พบหน้ากันอีกเช่นนี้
จ่างซุนเสินหรงถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สายตายังคงจับจ้องอยู่บนร่างของเขาอย่างแน่วนิ่ง นางกำลังคิดว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขาถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่!
“ประมุขน้อย คุณชายมาแล้วเจ้าค่ะ” จื่อรุ่ยที่อยู่ปากประตูร้องเรียกเบาๆ
เสียงของจ่างซุนซิ่นดังตามมาอย่างรวดเร็ว “อาหรง! อาหรง!”
รอบด้านเงียบกริบ เสียงเรียกอย่างร้อนใจของเขาจึงยิ่งดังชัดเจนเป็นพิเศษ
จ่างซุนเสินหรงได้สติ ดึงสายตากลับจากร่างของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันกายเดินออกจากประตูไปอย่างรวดเร็วทันที
จ่างซุนซิ่นเพิ่งมาถึงหน้าประตู ก็เห็นชายแขนเสื้อของน้องสาวพลิ้วตามสายลมออกมาแล้ว
“ไป” นางเดินผ่านตัวเขาไปโดยไม่หันหน้ามองเสียด้วยซ้ำ
จ่างซุนซิ่นมองไปทางด้านหลังของนางแวบหนึ่ง เห็นเงาร่างของคนนั่งอยู่ตรงนั้น ยังไม่ทันมองให้ชัดเจนก็รีบไล่ตามน้องสาวไป
เขารีบเร่งมาจากจวนว่าการโยวโจว เดิมทีก็อยู่กันอย่างสงบดี จนกระทั่งได้ยินเจ้าหน้าที่ที่คอยต้อนรับเขาพูดคุยเกี่ยวการรักษาความสงบของโยวโจวและพูดถึงทหารรักษาเมือง จู่ๆ ก็ได้ยินนามที่คุ้นเคยอย่างกะทันหัน จึงไม่พูดพร่ำทำเพลงเร่งกลับมาที่จุดพักม้าเพื่อตามหาน้องสาว ผลลัพธ์คือไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเรื่องของตงไหลแล้ว และที่ยิ่งกว่านั้นคือจ่างซุนเสินหรงก็ไปที่จวนบัญชาการทหารด้วยตนเองแล้วด้วย เขาก็เลยไล่ตามมา
จ่างซุนเสินหรงเดินตรงดิ่งไปจนถึงนอกจวนบัญชาการถึงได้หยุด
ตงไหลกับจื่อรุ่ยตามติดอยู่ด้านหลังนาง ไม่กล้าถามและไม่กล้าพูดอันใดทั้งนั้น
จ่างซุนซิ่นไล่ตามมาจนทัน “อาหรง เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ เจ้าคนแซ่ซานนั่นกลับอยู่ที่โยวโจวด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขารั้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองของท้องถิ่นโยวโจว จวนบัญชาการแห่งนี้ก็คือที่ทำงานของเขา!”
จ่างซุนเสินหรงเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตากลอกไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“อาหรง?” จ่างซุนซิ่นเรียกนางคำหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
จ่างซุนเสินหรงพลันเหมือนได้สติแล้ว หันหน้ากลับมาพูดว่า “ไม่ถูกสิ เหตุใดข้าต้องเป็นฝ่ายไปด้วย อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่พวกที่ไม่ยึดเหตุผลแบบนั้น!” นางพูดพลางสะบัดแขนเสื้อ ตั้งท่าจะหมุนตัวกลับไป
จ่างซุนซิ่นมือไวตาไวรีบฉุดนางเอาไว้ “อาหรง อย่าๆ”
จ่างซุนเสินหรงมุ่นคิ้วหันหน้ากลับมา
จ่างซุนซิ่นกลัวนางจะไม่สบายใจถึงได้ไม่ยอมให้นางกลับไปอีก พร้อมเอ่ยปลอบโยนเบาๆ “ฟังพี่เถอะ กลับไปก่อน ช้ากว่านี้ประตูเมืองจะปิดแล้ว นอกจากนี้เจ้าก็ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่นะ”
นี่เองจ่างซุนเสินหรงถึงได้หยุดลง แล้วหันกลับไปมองประตูใหญ่ของจวนบัญชาการทหารอีกแวบหนึ่ง พูดในใจว่า เสียเปรียบบุรุษผู้นั้นแล้ว!