จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 3-บทที่ 4
บทที่ 4
จ่างซุนซิ่นเริ่มปวดหัวเสียแล้ว
สาเหตุที่การเดินทางครั้งนี้เลือกโยวโจว นอกจากที่นี่จะเหมาะสมแก่การสำรวจแล้ว ยังเป็นเพราะสกุลจ่างซุนตั้งใจจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงในราชสำนักที่ฉางอันเป็นการชั่วคราวด้วย เพียงแต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ก็ทำให้น้องสาวต้องพบกับศัตรูเก่าเข้าเสียแล้ว
ซานจงผู้นี้ เวลานั้นในหมู่ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายก็มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสองเมืองหลวงว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจ โดดเด่นเป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว ทางสกุลซานเองก็เป็นตระกูลเลื่องชื่อที่มีอำนาจไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในฐานะที่เป็นการแต่งงานผูกสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเก่าแก่ จ่างซุนเสินหรงได้แต่งกับเขาก็นับว่าได้คู่ครองที่สมกันดุจกิ่งทองใบหยก เพียงแต่เพิ่งผ่านไปครึ่งปีสองคนนี้ก็แยกกันไปคนละทิศละทางเสียแล้ว เรื่องนี้ช่างสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนจริงๆ
ตอนแรกที่จ่างซุนเสินหรงกลับมาบ้าน พออ้าปากก็บอกว่าสามีตายไปแล้วนั้น จ่างซุนซิ่นไม่เชื่อสักนิดเดียว เพราะที่ไล่ตามจ่างซุนเสินหรงกลับมาบ้านในวันนั้นด้วยยังมีทหารม้าซึ่งน่าจะคุ้มครองส่งนางกลับมา รวมถึงคนสนิทข้างกายของซานจง จ่างซุนซิ่นพบกับคนสนิทผู้นั้นเป็นการเฉพาะ ถึงได้รู้ความเป็นมาเป็นไปโดยละเอียด ที่แท้ซานจงก็ไม่ได้ตาย แต่จากไปแล้วต่างหาก โดยมอบหนังสือขอแยกทางไว้แล้วก็ไปจากบ้านสกุลซาน คนสนิทผู้นั้นจึงมอบกระดาษให้เขาแผ่นหนึ่ง บอกว่าเนื่องจากฮูหยินจากมาอย่างรีบร้อนเกินไปจึงทำตกไว้ พวกเขาไล่ตามมาตลอดทางก็เพื่อเจ้าสิ่งนี้
บนกระดาษบันทึกสิ่งที่ซานจงชดเชยให้แก่จ่างซุนเสินหรงเอาไว้ตามที่ราชสำนักมีกฎหมายระบุ สามีภรรยาทุกคู่ที่แยกทางกัน บ้านสามีจะต้องมอบอาภรณ์และอาหารให้แก่ฝ่ายภรรยาเป็นเวลาสามปี บันทึกแผ่นนี้ของซานจงก็ระบุไว้ตรงๆ ว่าสิ่งที่มอบให้จ่างซุนเสินหรงก็คือ ‘ทุกสิ่งอย่างที่เป็นของเขาในสกุลซาน’ ต่อให้นางนั่งกินนอนกินอยู่เฉยๆ ก็เพียงพอให้จ่างซุนเสินหรงร่ำรวยไปชั่วชีวิตแล้ว
ตอนนี้จ่างซุนซิ่นถึงได้เชื่อว่าซานจงไปจากบ้านสกุลซานแล้วจริงๆ หาใช่การจากไปอย่างธรรมดา แต่เป็นการสลัดทิ้งตระกูลใหญ่มากอำนาจนี้ไปเลย…จากไปอย่างหมดจดเกลี้ยงเกลา
หากจะด่าว่าซานจงแล้งน้ำใจไร้คุณธรรม ก็ยังไม่เคยพบเห็นบุรุษคนใดในใต้หล้านี้ที่จะใจกว้างกับภรรยาที่เลิกร้างกันไปแล้วได้ถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้นซานจงก็พลิกโฉมหน้าเป็นคนไร้น้ำใจได้จริงๆ หลังแต่งงานไม่เคยมีความรู้สึกหรือคำพูดดีๆ ระหว่างสามีภรรยาให้สักประโยคเดียวก็เอ่ยปากขอแยกทางได้ง่ายๆ แล้ว
จ่างซุนซิ่นกลับอยากจะด่าซานจงว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก! เขาสลัดทิ้งสกุลซานไปเช่นนี้ ถ้าจะถามหาผู้รับผิดชอบก็ควรจะเป็นตัวซานจงสิ หากเกิดการพัวพันยืดเยื้อระหว่างตระกูลขึ้นมา ก็จะดูเหมือนสกุลจ่างซุนไร้เหตุผลไปสักหน่อย จ่างซุนซิ่นถึงขั้นค่อนข้างนับถือความใจกล้าบ้าบิ่นของซานจงที่บอกว่าไปก็ไปเลยด้วยซ้ำ
ทางด้านสกุลซานนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจากคำนึงถึงความรู้สึกของจ่างซุนเสินหรง สกุลจ่างซุนจึงตั้งใจจะไม่สืบสาวเอาความ ต่อมาเพียงได้ยินว่าผู้อาวุโสของสกุลซานไม่อยากให้จ่างซุนเสินหรงจากไปอย่างที่สุด เหมือนกับยังตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียนที่จวนจ้าวกั๋วกงด้วยซ้ำ แต่จ่างซุนซิ่นก็เพียงได้ยินมาเท่านั้น เนื่องจากในปีนั้นบ้านเมืองเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ก่อนหน้านั้นคือความพลิกผันในการแต่งตั้งรัชทายาทของฮ่องเต้องค์ก่อน จนเกือบจะยกกำลังทหารไปรวมตัวคัดค้านกันอยู่รอมร่อแล้ว หลังจากนั้นชายแดนทางเหนือก็มีศัตรูจากภายนอกรุกรานเข้ามา
ท่ามกลางสถานการณ์ที่โกลาหลในราชสำนัก สกุลจ่างซุนและสกุลซานต่างยุ่งอยู่กับการรับมือ ชั่วขณะนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจไปจัดการกับใครได้ และการที่ตระกูลใหญ่มากอำนาจแยกทางกัน ซึ่งเดิมน่าจะเป็นคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ยักษ์นี้ก็ไม่ค่อยมีผู้ใดไปสนใจมากนัก เรื่องราวจึงผ่านพ้นไปเช่นนี้เอง
พริบตาเดียวก็สามปี เบื้องบนเบื้องล่างทั้งตระกูลล้วนยอมรับกันเป็นนัยๆ อย่างไม่ต้องพูดกันว่าคนผู้นั้นก็คือ ‘ตาย’ ไปแล้ว จะได้หลีกเลี่ยงการยั่วโทสะบรรพชนน้อยของบ้านให้เสียอารมณ์ ผู้ใดจะไปคาดคิดได้ว่าคนผู้นั้นในตอนนี้ถึงกับเป็น ‘ศพคืนชีพ’
ภายในห้องพักแขกที่จุดพักม้า พอจ่างซุนซิ่นคิดถึงตรงนี้คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาก็ยังไม่คลาย
ไม่รู้ว่าคนแซ่ซานนั่นทำได้อย่างไร ถึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองอยู่ที่นี่ได้นานปานนี้โดยไม่มีข่าวคราวแม้แต่นิดเดียว
เขามองไปทางด้านข้าง จ่างซุนเสินหรงนั่งอยู่ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กๆ กำลังก้มหน้าดูหนังสือม้วนนั้นที่อัญเชิญออกมาจากกล่องไม้ซึ่งตกทอดมาจากบรรพชน นับแต่กลับมาจากจวนบัญชาการทหารก็ไม่เห็นนางมีรอยยิ้มบนใบหน้ามาสองวันติดกันแล้ว
ตั้งแต่เล็กจ่างซุนซิ่นก็ทะนุถนอมน้องสาวผู้นี้มาโดยตลอด แต่ยามนี้เพราะเขากลัวว่านางจะอ่านตัวอักษรในม้วนหนังสือไม่เข้าหัว ซึ่งนั่นจะเป็นการทำลายเรื่องสำคัญไป จึงเข้าไปใกล้แล้วพูดว่า “อาหรง ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าอึดอัดไม่สบาย ข้าก็จะให้จวนว่าการของโยวโจวออกคำสั่งให้คนของจวนบัญชาการนั่นห้ามเข้าใกล้พวกเรา อยู่ห่างจากเจ้าคนแซ่ซานนั่นไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
จ่างซุนเสินหรงเงยหน้าขึ้นมาจากม้วนหนังสือ “เหตุใดข้าต้องอึดอัด ข้าไม่ได้ทำผิดอะไรเสียหน่อย ที่ควรจะอึดอัดคือเขาต่างหาก จะให้หลีกเลี่ยงก็คือเขาหลีกเลี่ยงถึงจะถูก หากทำตามที่ท่านว่ามาจริง กลับจะดูเหมือนข้าใส่ใจเขามากอย่างไรอย่างนั้น”
สายตาของจ่างซุนซิ่นวนเวียนอยู่ที่ใบหน้าของนาง “เจ้าไม่ใส่ใจ?”
“ไม่ใส่ใจ” จ่างซุนเสินหรงก้มหน้าลงอ่านม้วนหนังสือต่อไป
พอดีที่นอกประตูมีผู้ติดตามคนหนึ่งเข้ามา แจ้งว่า “ผู้ว่าการโยวโจวส่งคนมาเชิญคุณชายขอรับ”
จ่างซุนซิ่นลุกขึ้น เขามองจ่างซุนเสินหรงอีกครั้ง เห็นนางดูคล้ายปกติดีก็วางใจลงได้บ้าง “ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้ายังต้องไปพบผู้ว่าการโยวโจวสักหน่อย ตอนนี้ตำแหน่งข้าหลวงใหญ่มณฑลโยวโจวว่างอยู่ ที่เป็นผู้ดูแลอยู่ในตอนนี้ก็คือผู้ว่าการ ต่อจากนี้งานของพวกเรายังจำเป็นต้องขอยืมความช่วยเหลือจากเขา”
จ่างซุนเสินหรงส่งเสียงตอบรับไปตามเรื่อง และคอยฟังเสียงเขาออกจากประตูไป
รอจนในห้องเงียบสงบแล้วนางก็ปิดม้วนหนังสือในมือลง อันที่จริงนางก็นึกถึงเหตุการณ์ในจวนบัญชาการทหารอยู่ก่อนแล้ว ตอนนั้นเขานั่งอยู่ที่นั่นมองนางอยู่ตั้งนานมันหมายความว่าอย่างไรกัน
นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง จึงคว้าเบาะนุ่มที่พิงอยู่มาขว้างออกไป
“ประมุขน้อย?” จื่อรุ่ยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เดินจากนอกประตูเข้ามาดู
จ่างซุนเสินหรงนั่งคุกเข่าตัวตรง แสร้งทำเป็นว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำอันใดทั้งนั้น แล้วถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “บาดแผลของตงไหลดีแล้วหรือ”
“กำลังพักรักษาตัวอยู่เจ้าค่ะ”
“ไยเจ้ายังไม่ไปดูแลอีก”
จื่อรุ่ยรีบขานรับ แล้วผละไปจากหน้าประตู
จ่างซุนเสินหรงเอาเบาะนุ่มใบนั้นมาขว้างออกไปอีกรอบหนึ่ง