ทันใดนั้นที่ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนซึ่งดังราวฟ้าผ่าของบุรุษดังขึ้นมา “เร็วเข้าหน่อย! คนกำลังจะมาถึงแล้ว…ไปๆๆ ไม่ต้องไปสนใจผู้สูงศักดิ์บ้าพวกนี้ รบกวนพวกเขาจะนับเป็นอันใดได้ ทำเรื่องพลาดสิถึงจะร้ายแรงถึงตาย!”
เสียงนี้แหบห้าวมาก ทันทีที่ได้ยินจ่างซุนเสินหรงก็นึกขึ้นมาได้ ก็คือเสียงของคนที่รบกวนนางจนตื่นในวันนั้น นางเก็บม้วนหนังสือขึ้นแล้วเดินไปที่ข้างหน้าต่าง
ที่มุมของลานเรือนมีบุรุษหนวดเคราครึ้มตัวใหญ่โผล่พรวดออกมา กำลังตะโกนโหวกเหวกอย่างฮึกเหิมไปทางด้านหลัง “เร็วสิ! ให้ตายเถอะ! แข้งขาอ่อนปวกเปียกหมดแล้วรึ!”
ขณะจ่างซุนเสินหรงพิงหน้าต่างดูอยู่องครักษ์ผู้หนึ่งก็เข้ามาอย่างเงียบเชียบ ขอคำชี้แนะว่าจะขับไล่พวกเขาไปดีหรือไม่ นางส่ายหน้าแล้วสั่งให้พวกเขาล่าถอยไปให้หมด การสำรวจภูมิลักษณ์ที่ดีงามถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าไปแล้ว นางกำลังไม่มีที่ให้ระบายความโกรธเกรี้ยวพอดี ตอนนี้ในเมื่อมาเจอหนทางระบายความขุ่นเคืองแล้ว ขอเพียงยังได้ยินถ้อยคำที่ไม่เคารพอีกสักคำเดียว นางจะต้องจับเจ้าคนปากไม่มีหูรูดนี่มาสังหารเพื่อประกาศศักดาเสียบ้าง
ชายหนวดเคราครึ้มตัวใหญ่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอีกรอบ นอกลานเรือนก็มีเสียงคนตะโกนดังมาแต่ไกล “มาแล้วๆ!”
ตามมาติดๆ ด้วยเสียงม้าร้อง มีคนจากข้างนอกเข้ามาในจุดพักม้า ไม่ใช่แค่คนเดียว เสียงฝีเท้านั้นดังสะท้อนก้อง เมื่อฟังอย่างละเอียดก็เหมือนเป็นเสียงของม้าย่ำไปบนพื้น ผสมปนเปด้วยเสียงอาวุธกับเกราะกระทบกัน
จ่างซุนเสินหรงมองไปตามเสียง มีทหารกองหนึ่งเดินผ่านระเบียงทางเดินเข้ามาในลานเรือนแล้วจริงๆ ผู้ที่นำหน้ามายังคุ้นตามากเสียด้วย ไม่ใช่ชายฉกรรจ์ในจวนบัญชาการทหารที่คอยขวางทางนางอยู่นานผู้นั้นหรือไร!
พอคนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มเห็นเขาก็ตะโกนว่า “หูสืออี เป็นเจ้าหรือที่มารับคน?!”
ชายฉกรรจ์ตอบกลับ “ผายลมสิ! ผู้ที่มาไม่ใช่แค่ข้า!”
จ่างซุนเสินหรงมองค้อนสองคนนั้นแวบหนึ่ง เบือนหน้าไป
เมื่อมองจากหางตานางก็เห็นคนหนวดเคราครึ้มตัวใหญ่ผู้นั้นวิ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
“ท่านผู้บัญชาการซาน ท่านมาด้วยตนเองเชียวหรือ!” น้ำเสียงเขาเปี่ยมไปด้วยความเคารพยกย่องสุดจะเปรียบขึ้นทันที
“อืม”
นางหันหน้าไปมองทันที ที่เดินเลี้ยวผ่านประตูระเบียงเข้ามาคือบุรุษที่หนีบดาบไว้ใต้แขน เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เขาเดินเข้ามาในมือถือกระดาษทำจากใยปออยู่แผ่นหนึ่ง กำลังก้มหน้าดูอยู่ ยามนี้เขาสวมชุดชาวหูรัดเอวสีดำทั้งชุด เกล้ามวยเรียบร้อย สูงสง่าประหนึ่งต้นสน อาจเนื่องจากนิสัยระแวดระวัง หลังจากหยุดยืนนิ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองในลานเรือน เพียงประเดี๋ยวเดียวสายตาก็กวาดมาที่หน้าต่าง
สายตาของจ่างซุนเสินหรงสบประสานกับสายตาของเขาพอดี นางพลันยันกรอบหน้าต่างยืดตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว
ซานจงก็เหมือนกับเมื่อก่อนนี้ ใบหน้าคมสัน เครื่องหน้าคมคายชัดเจน สายตาคมกริบ ร่างกายเหมือนกับแฝงไว้ด้วยความพยศอยู่ตลอดเวลา
จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องของบ่ายวันหนึ่งเมื่อนานมากแล้วขึ้นมา มารดาของนางนำภาพเหมือนภาพหนึ่งมาที่ห้องนาง เอามาให้นางดูด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ นางชายตาดูแวบหนึ่ง แล้ววิจารณ์อย่างไม่เห็นสำคัญว่า ‘ไม่เลว’
มารดานางยิ้มพลางพูดว่า ‘ข้ายังไม่รู้จักเจ้าหรือไร สามารถพูดว่า ‘ไม่เลว’ ออกมาเช่นนี้ นั่นก็เท่ากับพอใจมากแล้ว’
นางไม่ได้ยอมรับ เพียงแต่ก่อนที่มารดาจะเก็บภาพเหมือนไปนางก็ยังลอบดูเงียบๆ อีกหลายครั้ง
เป็นภาพใบหน้าด้านข้างของบุรุษผู้หนึ่ง ลายเส้นคมกริบประหนึ่งดาบ ดูโดดเด่นห้าวหาญไม่ธรรมดาเลย ว่ากันว่าเป็นอาจารย์สอนวาดภาพที่ทุ่มเทความพยายามถึงได้ลอกภาพจากลั่วหยางมาให้นางดูได้
ต่อมาตอนที่นางแต่งงานได้ยืนอยู่ข้างๆ เขา ยามลอบมองที่เห็นก็คือใบหน้าด้านข้างนี้เอง
กับใบหน้านี้นางจดจำได้อย่างชัดเจนมาก ดังนั้นต่อให้เขากลับจวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ จำนวนน้อยครั้งมาก ต่างฝ่ายต่างพบหน้ากันอย่างกะทันหันเพียงไม่กี่หน นางก็ยังจดจำเขาได้ในทันทีที่เห็นในจวนบัญชาการ
ช่วงเวลาสบตานี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ซานจงก็หันหน้าไปแล้ว “ของเล่า”
ชายหนวดเคราครึ้มตะโกนทันที “เร็ว! ส่งของได้แล้ว!”
คนพวกเดียวกันอีกหลายคนที่เขาตะโกนเร่งรัดเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ โผล่ออกมาจากมุมของลานเรือนทีละคน ผลักๆ ดันๆ คนที่ปล่อยผมยาวรุงรังแต่งกายแปลกแยกหลายคนที่ถูกคุมขังเอาไว้ หลายคนนั้นถูกมัดด้วยเชือกเส้นเดียวกันโยงไว้ด้วยกัน ราวกับเป็นปลาตายที่ถูกลากเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น