จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 3-บทที่ 4
กระดาษที่อยู่ในมือของซานจงถูกโยนไปให้หูสืออี “ไปบอกให้หัวหน้าจุดพักม้าปิดประกาศได้แล้ว”
หูสืออีจากไปแล้ว ชายตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มเดินมาตรงหน้าซานจงอีกสองก้าว ท่าทางยโสโอหังก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังยิ้มแย้มแทนอีกด้วย “ท่านผู้บัญชาการซาน มีทั้งหมดห้าคนขอรับ สองคนเป็นชาวซี[1] อีกสามคนเป็นชาวชี่ตาน[2] พวกเราจับได้จากที่ชายแดนนั่น”
เขาผงกศีรษะ “ทำได้ไม่เลว”
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มมีสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที ราวกับได้รับการยกย่องชมเชยจากสวรรค์ครั้งใหญ่
ซานจงยกดาบขึ้นมา “ส่งของเสร็จแล้วก็ไปรับรางวัลที่จวนบัญชาการของข้า ข้าอยากตรวจดูที่พักของพวกเขาสักรอบหนึ่ง”
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มรีบชี้ทางให้ซานจงพลางเอ่ยพล่ามว่า “ก็ไม่รู้ว่าไฉนถึงได้มีผู้สูงศักดิ์บ้ากลุ่มหนึ่งโผล่มา ยึดครองสถานที่ไปจนหมด ทำเอาพวกข้าได้แต่ต้องย้ายไปที่ซอกลับตาคนตรงมุมนั้น”
“เช่นนั้นหรือ” ซานจงหัวเราะ แล้วก็เดินไปทางด้านที่อีกฝ่ายชี้บอก
จ่างซุนเสินหรงที่ดูอย่างเงียบๆ จนถึงตอนนี้จึงจ้องไปทางทิศที่เขาเดินไป หวนคิดถึงเสียงหัวเราะนั้นของเขาแล้ว จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ชายเสื้อพลิ้วสะบัดลอยขึ้น ก่อนหันกายออกไปจากห้อง
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มกำลังส่งตัวคนหลายคนนั้นให้กับทหารที่ซานจงพามา ทันใดนั้นก็เห็นหญิงสาวเดินออกมาจากห้องพักแขกห้องใหญ่ที่อยู่ไกลๆ ห้องนั้น กระโปรงยาวลากพื้น แขนพาดผ้าคลุมไหล่เนื้อบางเอาไว้ เดินผ่านข้างตัวเขาไปโดยสายตาไม่เหลือบแลด้านข้างแม้แต่น้อย เขางุนงงไปชั่วขณะ ก่อนโพล่งถามว่า “ผู้ใดกัน”
“ผู้สูงศักดิ์ที่เจ้าเคยด่าว่า”
คนตัวใหญ่หนวดเคราครึ้มตะลึงงันไปแล้ว และก็มองดูนางผ่านไปเช่นนี้เอง
เวลานี้จ่างซุนเสินหรงไม่มีอารมณ์ไปสนใจคนผู้นั้น นางเพิ่งจะผ่านลานเรือนออกไปก็มีองครักษ์สองคนตามมาอย่างเงียบๆ แล้ว ก่อนพวกเขาจะถูกนางขับไล่ออกไปอีกครั้ง
จ่างซุนเสินหรงเดินผ่านระเบียงยาวไปเพียงผู้เดียว จนกระทั่งถึงมุมที่ห่างไกลลับตาผู้คนมากที่สุด เห็นห้องชั้นล่างที่อยู่ติดๆ กันหลายห้อง ประตูเปิดอยู่ทุกบานคล้ายว่าถูกเตะเปิดออก แม่กุญแจห้อยเอียงกระเท่เร่ดูใกล้จะร่วงลงมาเต็มที
นางเพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ บุรุษในชุดดำผู้หนึ่งก็ก้มหน้าเดินออกมาจากห้องที่อยู่ตรงกลาง
จ่างซุนเสินหรงชนเข้ากับเขาพอดี ห่างมาหลายก้าวถึงค่อยยืนได้มั่นคง นางค่อยๆ กวาดตามองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พูดว่า “ผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองเป็นตำแหน่งทางทหารระดับใด”
ซานจงพบกับนางโดยบังเอิญก็ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ถึงกับยังตอบคำถามอย่างค่อนข้างเหมาะสมด้วย “บัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์ทั้งพื้นที่ รับผิดชอบในการฝึกฝนทหารเพื่อป้องกันและรักษาความสงบ”
จ่างซุนเสินหรงจะไม่รู้ได้อย่างไร นางเพียงจงใจแสร้งถามไปเท่านั้นเอง นางเลิกคิ้วพลางเอ่ยทอดถอนใจ “ท่านจากสกุลซานมา อาศัยกำลังของตนเองเพียงลำพังก็นั่งตำแหน่งหัวหน้าทหารในพื้นที่นี้ได้อย่างมั่นคง ช่างทำให้ข้านับถือเสียจริง”
หากฟังการเสียดสีในวาจานี้ไม่ออกนั่นก็คือคนโง่เขลาแล้ว แต่ซานจงกลับยกมุมปากขึ้น ใช้มือตบๆ ฝุ่นละอองที่อยู่ในมือ ซ้ำยังพูดต่อจากนางอีกประโยคว่า “นั่นก็จริง”
จ่างซุนเสินหรงขมวดคิ้ว เดาอยู่ว่าเขากำลังพูดอย่างขอไปทีกับตนอีกแล้วใช่หรือไม่ ครั้นนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้นัยน์ตานางก็วูบไหวเล็กน้อย “ใช่แล้ว ท่านต้องคิดแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้าแน่”
ดวงตาของซานจงมองมา จ่างซุนเสินหรง…เหตุใดเขาจะไม่รู้จักนางเล่า ทันทีที่เห็นครั้งแรกในจวนบัญชาการเขาก็จำได้แล้ว แต่เขากลับเอ่ยปากพูดไปว่า “หรือเจ้ากับข้าน่าจะรู้จักกัน?”
สีหน้าจ่างซุนเสินหรงค่อยๆ ตึงขึ้นมาแล้ว “ข้ากลับจำท่านได้ ซาน…จง…”
นามของเขาพูดออกจากปากนางอย่างมีนัยแฝงลึกล้ำ
ทั้งสองต่างมองกันและกัน
และในเวลานี้หูสืออีก็กลับมาหาพอดี เท้าข้างหนึ่งของเขาหยุดชะงักไปอีกหนเนื่องจากเห็นจ่างซุนเสินหรง “ท่านเองหรือ!” เขาคิดในใจ ท่านหัวหน้าขอโทษไปแล้วแท้ๆ หรือว่าสตรีนางนี้ยังไม่เลิกไม่ราอีก? จึงพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ วันนี้พวกเรามาเพื่อรับโจรร้ายฝ่ายศัตรูที่ถูกคุมตัวไว้ เรื่องอื่นๆ ท่านไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้!”
จ่างซุนเสินหรงเอาแต่มองซานจงเท่านั้น ไม่สนใจหูสืออีสักนิด
หูสืออีใจฝ่อไปทันที ได้แต่รายงานเรื่องที่ไปกระทำมาต่อซานจง “ท่านหัวหน้า คำสั่งห้ามได้บอกให้หัวหน้าจุดพักม้าปิดประกาศขึ้นไปแล้ว ทันทีที่เส้นทางภูเขาปิดจะไม่ให้คนภายนอกเข้าไปได้อีกเด็ดขาด”
จ่างซุนเสินหรงมองไปที่เขาทันที “พวกเจ้าจะปิดอะไรนะ!”
“ปิดภูเขา” ซานจงเบนสายตาออกจากร่างของนาง เปลี่ยนมือที่ถือดาบ แล้วเดินออกไปข้างนอก
จ่างซุนเสินหรงมองเขาเดินผ่านด้านข้างกายตนเองไป เกราะแขนบนแขนเสื้อของเขาเฉียดผ่านผ้าไหมคลุมไหล่ที่พาดอยู่บนข้อพับแขนของนาง เกราะหนังแข็งกระด้างกับผ้าไหมอ่อนนุ่มคลับคล้ายว่าจะเกี่ยวพันกันชั่วขณะหนึ่ง
ที่ด้านนอกโจรร้ายฝ่ายศัตรูถูกคุมตัวเอาไว้ ทหารตั้งแถวเตรียมตัวเดินทางกลับจวนบัญชาการ
หูสืออีไล่ตามจนทันฝีเท้าซานจง “ท่านหัวหน้า ก่อนหน้านี้ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินสตรีนางนั้นเรียกชื่อของท่านตรงๆ ท่านก็จะปล่อยให้นางเรียกไปตามแต่ใจหรือ”
เขาไม่รู้ถึงสาเหตุ เพียงคิดว่าจ่างซุนเสินหรงโมโหเท่านั้น
ซานจงเหยียบโกลนแล้วยกร่างขึ้นไปนั่งบนหลังม้า “เจ้าหูดีมาก”
หูสืออีเบิ่งตากลมโต “ถ้าหากนางรู้ถึงฐานะของท่านในโยวโจวนี้ จะต้องไม่กล้าดูถูกท่านเช่นนี้แน่นอน! เมื่อครู่ท่านน่าจะฉวยโอกาสกดดันสตรีที่เคยโอ้อวดบารมีผู้นั้นกลับไปถึงจะถูก!”
ซานจงยิ้ม “เจ้าเห็นว่าข้าว่างนักใช่หรือไม่”
เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นนายหูสืออีก็พูดไม่ออก ได้แต่ตามหลังไปโดยไม่กล้าออกความเห็นแล้ว
ซานจงกระตุกบังเหียน กระตุ้นม้าวิ่งไปบนเส้นทาง พลันนึกถึงเสียงที่เรียกนามเขาเมื่อครู่นี้อย่างไม่มีเหตุผล สตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับการพะเน้าพะนอตามใจอย่างที่สุด น่าจะไร้ความเกี่ยวข้องกับเขามาตั้งนานแล้ว เวลานี้เหตุใดถึงได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งที่ชายแดนแห่งนี้ได้เล่า
เชิงอรรถ
* หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
* เหวิน หน่วยต่ำสุดของเงินตราจีนสมัยโบราณ เป็นเงินเหรียญหลอมจากทองแดง มีรูตรงกลาง คนใช้จึงนิยมร้อยเชือกติดกันเป็นพวง เงินเหรียญ 1,000 เหวิน เมื่อร้อยเป็นพวง จึงเรียกว่าก้วน ซึ่งแปลว่าพวง เงินหนึ่งก้วนคือเท่ากับ 1,000 เหวิน และหนึ่งก้วนมีค่าอย่างเป็นทางการเท่ากับ 1 เหลี่ยง (ตำลึงเงิน)
* ชาวจีนเรียกตนเองว่า ‘ชาวฮั่น’ ส่วนชนชาติต่างๆ ที่อยู่นอกเขตกำแพงใหญ่ออกไปเรียกรวมๆ ว่า ‘ชาวหู’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ป่าเถื่อน’ ชนชาติต่างๆ เหล่านี้จะสวมเสื้อตัวสั้น แขนเสื้อกระชับรัดรูป ซึ่งเหมาะกับการใช้ชีวิตบนหลังม้าที่ต้องขี่ม้ายิงธนูบ่อยๆ ผิดกับเสื้อผ้าชาวฮั่นที่บุรุษจะสวมเสื้อตัวยาวแขนกว้างใหญ่ ต่อมาทหารจีนนำแบบเสื้อผ้าของพวกชาวหูมาใช้ เพื่อเวลาออกรบจะได้ไม่รุ่มร่ามเหมาะกับการออกรบ เสื้อผ้าแบบนี้จึงเรียกว่า ‘เสื้อแบบชาวหู’ หรือ ‘ชุดชาวหู’
[1] ชาวซี คือชนต่างเผ่าที่แยกสายออกมาจากชาวเซียนเปย มีบรรพบุรุษร่วมกับชาวเซียนเปยเผ่าอวี่เหวินและชาวชี่ตาน เคยสวามิภักดิ์ชาวเซียนเปยเผ่ามู่หรงและชาวเซียนเปยเผ่าทั่วป๋า ชาวซีส่วนใหญ่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และทำปศุสัตว์
[2] ชาวชี่ตาน คือชนเผ่าเร่ร่อนสมัยโบราณ เป็นชนเผ่าที่ทำการเกษตรควบคู่กับการทำปศุสัตว์ มีบรรพบุรุษร่วมกับชาวซีและชาวเซียนเปยเผ่าอวี่เหวิน ในช่วงปลายราชวงศ์ถัง เยียลวี่อาเป่าจี ข่านของชาวชี่ตานได้ก่อตั้งแคว้นชี่ตาน ซึ่งต่อมาเยียลวี่เต๋อกวง ฮ่องเต้องค์ที่สี่ของแคว้นชี่ตานได้เปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์เหลียว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.