บทที่ 5
เมื่อวานนี้จ่างซุนซิ่นกับผู้ว่าการของโยวโจวได้พบกัน ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นานทีเดียว จนถึงเที่ยงคืนเขาถึงได้กลับ จึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในจุดพักม้าเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งวันถัดมาตอนเช้าเขาเพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน หัวหน้าจุดพักม้าก็มาขอพบอยู่ที่นอกห้องพัก รายงานเรื่องประกาศห้ามที่ได้รับมาให้เขาทราบ
จ่างซุนซิ่นกำลังยกถ้วยดื่มชาอยู่ พอได้ยินยังไม่ทันจบก็วางถ้วยชาแล้วเดินออกไปหา “เจ้าบอกว่าปิดภูเขาหรือ”
หัวหน้าจุดพักม้าตอบอย่างนอบน้อม “ใช่แล้วขอรับ จวนบัญชาการทหารมีคำสั่งมา”
รูปโฉมอันหล่อเหลาอย่างผู้มีการศึกษาของจ่างซุนซิ่นนั้นดำไปแล้วครึ่งหนึ่ง “พวกที่มาคือใคร”
หัวหน้าจุดพักม้าเอ่ยเสียงเบาลง ดูจากท่าทางแล้วถึงกับค่อนข้างจะหวาดกลัวอยู่ “คือผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองของโยวโจวเราขอรับ”
จ่างซุนซิ่นตบหน้าผากทันที เรื่องใหญ่เพียงนี้กลับไม่มีใครบอกเขาเลย เขาเดินผ่านหัวหน้าจุดพักม้าเพื่อไปหาจ่างซุนเสินหรงทันที เดินไปพลางก็แอบตำหนิในใจไปด้วย…หรือว่าเจ้าคนแซ่ซานนั่นจะจงใจ เจาะจงเลือกเอาตอนที่ข้าไม่อยู่ปรากฏตัวออกมา!
วันนี้จ่างซุนเสินหรงตื่นเช้ามาก
ถุงผ้าปักลายหนาพิเศษใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ จื่อรุ่ยหยิบหนังสือที่อยู่ในกล่องไม้จันทน์แดงม้วนนั้นออกมาอย่างระวัง ก่อนใส่เข้าไปในถุงผ้าปักลาย แล้วใช้สองมือยื่นส่งไปที่เบื้องหน้าจ่างซุนเสินหรง
นางรับมาแล้วใส่เข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นรวบเสื้อคลุมกันลมทอไหมปักลายสีเขียวอ่อนที่เพิ่งจะคลุมลงบนร่างของนางให้เรียบร้อย และเดินออกจากประตูไป
ตงไหลที่รูปร่างผอมเพรียวยืนตัวตรงราวกับพู่กันอยู่นอกประตู แต่งกายด้วยชุดองครักษ์อย่างเรียบร้อย
จ่างซุนเสินหรงเห็นบาดแผลที่หางตาของเขาตกสะเก็ดและบวมน้อยลงแล้ว จึงถามว่า “บาดแผลของเจ้าหายดีแล้วหรือ”
เขาก้มศีรษะ “หลังได้พักรักษาตัวอยู่หลายวันก็ไม่เป็นไรแล้วขอรับ ประมุขน้อยวางใจได้”
ขณะพวกเขากำลังพูดกันอยู่ จ่างซุนซิ่นก็มาถึงแล้วด้วยท่าทางรีบร้อน
จ่างซุนเสินหรงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด “พี่คงจะรู้เรื่องคำสั่งห้ามนั่นแล้วเป็นแน่”
จ่างซุนซิ่นเดิมยังคิดจะถามนางว่าหลังจากเจ้าคนแซ่ซานนั่นมาแล้วได้ทำอันใดบ้าง ตอนนี้พินิจดูจากท่าทีของนาง เขาก็คาดเดาได้แล้วว่านางคิดจะทำสิ่งใด “เจ้าจะไปสำรวจภูมิลักษณ์ด้วยตนเองหรือ”
จ่างซุนเสินหรงยกหมวกของเสื้อคลุมกันลมขึ้นคลุมศีรษะเอาไว้ ครั้นนึกถึงท่าทางของซานจงเมื่อวานนี้ตอนที่เขาจากไปต่อหน้าต่อตา นางก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ใช่ ข้าอยากจะไปดูๆ เสียหน่อยว่าผู้ใดจะสามารถห้ามข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็บอกเองว่าหัวหน้าขุนนางท้องถิ่นของที่นี่คือผู้ว่าการไม่ใช่หรือ”
จ่างซุนซิ่นเข้าใจความหมายของนางในทันที นางต้องการไปทำลายคำสั่งห้ามนั่น ที่จะขอยืมก็คืออำนาจของผู้ว่าการนั่นเอง เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะถามถึงซานจง ที่เหลือก็ไม่ต้องพูดกันให้มากความแล้ว บอกว่าไปก็ไปเลย
วันนี้บรรพชนน้อยออกศึกเอง แน่นอนว่าต้องไปด้วยกันให้ถึงที่สุด เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทางเขาก็ส่งองครักษ์ไปเชิญผู้ว่าการโยวโจวเป็นพิเศษ
ตงไหลนำทาง หลังออกจากเมืองรถม้าก็แล่นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างเร็วตลอดทาง
จากถนนที่ราบเรียบกว้างขวางก็เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางสายเล็กที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ สิ่งที่สายตามองเห็นก็ไม่ใช่พื้นที่โล่งกว้างอีก เพราะค่อยๆ ปรากฏรูปร่างของเทือกเขาขึ้นมาให้เห็นยอดเขาสูงๆ ต่ำๆ ประหนึ่งน้ำหมึกจากปลายพู่กันของสวรรค์ค่อยๆ หยดแต้มลงที่ใต้ขอบฟ้า ซึมผ่านขึ้นไปทางด้านบน แล้วเชื่อมต่อกับหมู่เมฆอีกครั้ง
ประมาณครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดลง ตงไหลลงจากม้ามาเชิญจ่างซุนเสินหรง “ประมุขน้อย ถึงแล้วขอรับ”
จ่างซุนเสินหรงเลิกม่านประตูรถม้าขึ้นแล้วมองออกไปทางด้านนอก สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา ดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่กลางนภา รอบด้านคือเทือกเขาสูงเสียดฟ้า มาถึงสถานที่ที่วันนั้นนางระบุเอาไว้บนแผนที่แล้ว
จ่างซุนซิ่นขี่ม้าเข้ามาหา “อาหรง เทือกเขาแถบนี้กว้างใหญ่ไพศาลยากจะมีคนมาถึงได้ ข้ามแนวเทือกเขาสูงเสียดฟ้านี้ไปก็คือนอกด่านชายแดนแล้ว”
ยามที่ดูแผนที่ก่อนหน้านี้จ่างซุนเสินหรงก็ค้นพบแล้ว นางจับแขนของจื่อรุ่ยเอาไว้แล้วลงมาจากรถ “ไปดูกัน”
เส้นทางบนภูเขายากจะสัญจร ทำได้เพียงขี่ม้าหรือไม่ก็เดินเท้าเท่านั้น จ่างซุนเสินหรงจึงผูกเสื้อคลุมให้แน่น ยกชายเสื้อขึ้น แล้วเดินนำอยู่ด้านหน้า
ตงไหลกลัวว่าจะมีอันตราย คิดจะเดินนำอยู่ข้างหน้าอยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องคอยหยุดเพื่อหาเส้นทางอยู่บ่อยๆ สุดท้ายยังคงเป็นจ่างซุนเสินหรงที่เดินนำอยู่ข้างหน้า