จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 5-บทที่ 6
จ่างซุนเสินหรงเดินอย่างราบรื่นไม่ติดขัด สามารถมุ่งไปได้เรื่อยๆ สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องจะต้องนึกว่านางเคยมาแล้วเป็นแน่
จ่างซุนซิ่นไม่ได้ขี่ม้าตั้งนานแล้ว เขาคอยเดินเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ จ่างซุนเสินหรง ในที่สุดทุกคนก็ลงมาเดินด้วยกันกับนางทั้งหมด
เส้นทางที่ลงจากเขามีลำธารไหลเอื่อยอยู่สายหนึ่ง จ่างซุนเสินหรงมองดูภูเขารอบด้านแล้วก็มองดูสายน้ำที่ไหลเอื่อยสายนั้นอีกครั้ง จากนั้นหันหน้ามองไปทางทิศเหนือ สายตาก็เปลี่ยนเป็นจ้องเขม็งทันที แนวกำแพงด่านชายแดนที่ยิ่งใหญ่โอฬารแถบหนึ่งพาดขวางยึดครองอยู่ตรงหว่างกลางอย่างน่าประทับใจ ยืดขยายออกไปตามแนวสันเขาประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลงราวกับมังกรตัวยาวกำลังดำผุดดำว่าย
จ่างซุนซิ่นก็เห็นแล้วเช่นกัน “ที่แท้ก็อยู่ห่างจากด่านชายแดนไม่ไกล”
จ่างซุนเสินหรงกลับคิดว่า ไม่แปลกเลยที่วันนั้นตงไหลจะถูกซานจงจับไปได้ คิดมาถึงตรงนี้ แม้แต่กำแพงชายแดนที่ทอดยาวประหนึ่งมังกรแถบนั้นก็ถูกนางตวัดสายตาใส่ไปวงหนึ่งด้วยเช่นกัน
บนกำแพงด่านมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะลาดตระเวนมาถึงตรงนี้
มือของหูสืออีวางป้องอยู่บนหน้าผากมองลงไป และร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “เหตุใดถึงเป็นคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นอีกแล้ว!” เขาหันมองที่ข้างตัว “ท่านหัวหน้าเห็นหรือไม่”
ซานจงหางตากระตุกไปเล็กน้อย
“ที่นั่นอย่างไร!” หูสืออีกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็น ยังเข้ามาใกล้ๆ ชี้ทิศทางให้เขาด้วย
คนกลุ่มนั้นก็อยู่ที่เชิงสันเขาแห่งนี้เอง เสื้อคลุมกันลมสีเขียวอ่อนของหญิงสาวที่อยู่ตรงกลางกำลังพลิ้วสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม
หูสืออีพึมพำ “ท่านหัวหน้า ท่านว่าหลายวันมานี้พวกเราเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ถึงได้เจอกับคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นอยู่เรื่อย! พวกเขามาทำอะไรกันแน่ แล้วยังวิ่งมาที่ภูเขาลูกใหญ่นี้อีก เห็นคำสั่งห้ามของพวกเราเป็นของปลอมเช่นนั้นรึ”
ซานจงกอดดาบไว้ในวงแขน เมื่อพิงกำแพงมองลงไปก็เห็นจ่างซุนเสินหรงในทันทีจริงๆ เสียด้วย พลันนึกตำหนินางว่าช่างโดดเด่นเสียจริง ทั้งรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าด้านข้างขาวปานหิมะ ยามแสงตะวันอาบไล้ราวกับเปล่งแสงออกมาชั้นหนึ่ง สะดุดตาถึงเพียงนี้คิดจะไม่ดูก็ยากนัก จากนั้นเขาก็เห็นจ่างซุนเสินหรงหันหน้าไปมองหอคอยมุมกำแพงอีกด้านหนึ่ง
สายตาของเขาดีเยี่ยม พบว่าท่าทางเช่นนี้ของนางเหมือนกับกำลังมองค้อนอย่างเย็นชาอยู่ อะไรกัน กำแพงด่านยั่วโมโหนางหรือ เขาหยักยกมุมปากอย่างขบขัน ยืนตัวตรงขึ้นมาแล้วเคาะฝักดาบที่กำแพงทีหนึ่ง “ไม่ต้องไปสนใจว่าพวกเขาจะทำอะไร ขับไล่ไปเสีย”
หูสืออีได้ยินในใจก็หดวูบ นี่คือให้ข้าไปขับไล่? ไม่ดีกว่านะ ข้าสู้ไม่ชนะคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นหรอก
ซานจงหันกายเดินลงไปจากกำแพงแล้ว ดวงตากวาดมองไปทางนอกด่าน ตอนที่เก็บสายตากลับมาก็แอบกวาดไปทางจ่างซุนเสินหรงอีกแวบหนึ่ง พบว่านางกำลังแหงนหน้ามองภูเขา ก่อนหน้านี้ไฉนถึงไม่รู้เลยว่าอดีตภรรยาของเขายังเป็นคนที่ชอบพื้นที่แถบชายแดนด้วย
เขาเพิ่งจะลงจากบนกำแพงมาก็มีเสียงขลุ่ยแหลมดังมาจากที่ไกลๆ เสียดแทงเข้าสู่โสตประสาทอย่างกะทันหัน ฝีเท้าซานจงหยุดลงทันที พริบตาเดียวก็เคลื่อนไหวร่างประดุจเงา “เร็ว!”
คนทั้งกลุ่มตามมาทันเขา ก่อนพากันทะยานขึ้นหลังม้าควบออกไปอย่างรวดเร็ว นี่คือการแจ้งข่าวของหน่วยสอดแนมที่ยามมีสถานการณ์ของศัตรูถึงจะส่งออกมา
จ่างซุนเสินหรงยืนอยู่ที่ริมลำธารก็ได้ยินเสียงในเวลานั้นด้วยเหมือนกัน จึงหันมองไปรอบหนึ่ง กลับถูกลักษณะของภูเขาที่อยู่ตรงกันข้ามดึงดูดความสนใจไป หลังจากมองอยู่สักพักนางก็เอ่ยปาก “ภูเขาดิน”
ตามความรู้ความเข้าใจของสกุลจ่างซุน เขาแต่ละลูกมีคุณสมบัติตามธาตุทั้งห้า* ภูเขาลูกที่อยู่ตรงข้ามนี้ยอดเขาราบเรียบและทรงของตัวภูเขาเป็นสี่เหลี่ยม นี่คือลักษณะของธาตุดินในธาตุทั้งห้า อย่างไรก็ตามแนวสันเขาของมันที่ยืดขยายยาวออกไปมากก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยายแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ก่อเกิดกันและกัน ยับยั้งกันและกัน ควบคุมกันและกัน เปลี่ยนแปรกันและกันเหล่านี้นี่เองที่ก่อให้เกิดเป็นลักษณะพื้นที่ของสถานที่นี้ขึ้น ดังนั้นหากต้องการหาแร่ให้พบ ก็จะต้องยึดกุมศาสตร์ของพื้นที่ที่นี่ให้ได้เสียก่อน นี่ก็คือการสำรวจภูมิลักษณ์
จ่างซุนซิ่นยืนอยู่ข้างๆ ผงกศีรษะ “เรื่องนี้ข้าก็ดูออกแล้ว แต่ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่”
จ่างซุนเสินหรงพูดว่า “ไปถึงตรงหน้าสำรวจดูหน่อยก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” ตอนที่พูดเท้านางก็ก้าวไปแล้ว ทันใดนั้นประกายเย็นเยียบสายหนึ่งก็พุ่งมา ปักเฉียงๆ เข้าที่กลางลำธารตรงหน้านาง และยังคงสั่นไหวไม่หยุด
นางนิ่งอึ้งไปแล้วถึงได้มองเห็นชัดเจนว่านั่นคือดาบที่ตรงและเรียวบางเล่มหนึ่ง นางหันไปอย่างตกตะลึง ก็เห็นคนและม้ากลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
คนที่นำหน้ามาสวมเสื้อสีดำขี่ม้าสีดำพุ่งตรงเข้ามา เมื่อถึงแล้วก็ก้มตัวลงดึงดาบขึ้นมา “ถอยไป!”
เสียงยังไม่ทันขาดหายตัวคนก็จากไปแล้ว จ่างซุนเสินหรงเพียงเห็นเขาหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง ในดวงตาประหนึ่งบ่อน้ำลึกล้ำ คมกริบเหมือนใบมีดที่ตัดคอคน ตอนที่หันกลับไปกีบเท้าม้าก็ควบตะบึงอย่างรวดเร็วจนน้ำสาดกระเซ็นขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจายไปทั่ว นางเพียงทันได้หลับตาเท่านั้น น้ำพลันสาดกระเซ็นจนเปียกไปหมดทั้งร่าง
“ประมุขน้อย”
“อาหรง!”
ตงไหลกับจ่างซุนซิ่นวิ่งมาคุ้มครองนางแทบจะพร้อมกัน คุ้มกันนางให้ถอยไปหลายก้าว ถึงได้ไม่เลวร้ายถึงขั้นที่ทำให้ผู้อื่นที่ตามหลังซานจงมาติดๆ ล่วงเกินนางได้อีก
หูสืออีที่อยู่ด้านหลังยังตะโกนตามมาอีก “ได้ยินแล้วหรือไม่ รีบไปเสีย!”
เสื้อคลุมของจ่างซุนเสินหรงเปียกน้ำ ผมของนางแนบติดหน้าผากอย่างน่าอเนจอนาถ ยามลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาพาให้นางหนาวจนสั่นไปทั้งร่าง นางกัดริมฝีปากแน่น จ้องไปยังทิศทางที่บุรุษผู้นั้นจากไป เขาถึงกับขว้างดาบมาที่นางเลยหรือ
จื่อรุ่ยมองจนตื่นตะลึงไปแล้ว หลังจากได้สติกลับมาก็รีบให้คนไปก่อไฟ