จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 5-บทที่ 6
จ่างซุนซิ่นรีบถอดเสื้อคลุมของตนเองเปลี่ยนกับตัวที่เปียกน้ำของจ่างซุนเสินหรงอย่างรวดเร็ว ตงไหลก็คอยยืนบังลมให้นางเอาไว้
ในเวลาอันรวดเร็วจ่างซุนเสินหรงก็ถูกพยุงให้นั่งลงไปบนหินก้อนใหญ่ที่ปูผ้าเอาไว้เพื่อผิงไฟ โดยมีกิ่งไม้หลายกิ่งที่องครักษ์ไปตัดมาปักอยู่โดยรอบ เพื่อให้นางกางกั้นผ้าม่านกำบังเอาไว้
นางหันเข้าหากองไฟ ลูบๆ ตรงช่วงอกอย่างช้าๆ ยังดีที่ถุงผ้าปักลายที่นางใส่ม้วนหนังสือทำมาเป็นพิเศษ แม้จะไม่ถึงขั้นอาวุธฟันแทงไม่เข้า แต่อย่างน้อยก็สามารถกันน้ำกันไฟได้บ้าง
ที่ด้านนอกจ่างซุนซิ่นเดินไปเดินมาพลางตำหนิเสียงต่ำ “เจ้าคนแซ่ซานช่างทำให้ตระกูลเก่าแก่สูงศักดิ์ของตนเองแปดเปื้อนเสียจริงๆ ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เป็นแค่อันธพาลนักเลงของกองทัพเท่านั้นเอง! งู…คำนั้นพูดว่าอย่างไรนะ”
ตงไหลเตือนเบาๆ “งูดินเจ้าถิ่น** ขอรับ”
“ใช่! งูดินเจ้าถิ่น”
จ่างซุนเสินหรงรู้ว่าเขากำลังระบายความโกรธเกรี้ยวให้กับตน นางหรี่ตามองดูกองไฟที่ลุกโชนอยู่ตรงเบื้องหน้า บีบนวดนิ้วที่หนาวเย็น พูดอยู่ในใจว่า เดิมเขาก็ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลเก่าแก่ทั่วๆ ไปอยู่แล้ว คนข้างนอกไหนเลยจะรู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา
ผ่านไปนานเสียงขลุ่ยแหลมนั้นก็ไม่ได้ดังขึ้นอีก กลับมีเสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังมา ตามมาด้วยเสียงของจ่างซุนซิ่นกับผู้ที่มากำลังคารวะทักทายกัน ตัวของเขาคุ้นเคยกับการรักษาท่วงท่าให้สง่างามเฉกเช่นคนจากตระกูลใหญ่ แล้วก็ไม่คิดจะให้น้องสาวที่เพิ่งตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอนาถถูกผู้คนพบเห็นด้วย ท่าทางที่ด่าว่าซานจงนั้นก็เก็บซ่อนเอาไว้ก่อนแล้ว
จ่างซุนเสินหรงฟังออก เป็นผู้ว่าการโยวโจวเร่งรุดมาถึงแล้ว
ผู้ว่าการโยวโจวเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าขาวไว้เคราสั้น สวมชุดขุนนาง วางตัวสุภาพมีการศึกษา มีนามว่า ‘จ้าวจิ้นเหลียน’ พอเขาได้รับจดหมายเชิญของจ่างซุนซิ่นก็พาผู้ติดตามสองคนรีบมาทันที เนื่องจากรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องคำสั่งห้าม
อันที่จริงสถานที่ตั้งของโยวโจวมีความพิเศษ ดังนั้นจึงนับว่าเป็นหัวเมืองระดับสูงของบ้านเมือง หากพูดถึงตำแหน่งขุนนางเขายังอยู่ในระดับสูงกว่าจ่างซุนซิ่นอีกหนึ่งขั้น ทว่าเขาเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบเคอจวี่*** โดยมาจากครอบครัวยากจน ไม่มีคนหนุนหลังแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าจ่างซุนซิ่นจึงเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก
จ้าวจิ้นเหลียนเห็นผ้าม่านกำบังตั้งนานแล้ว ด้านหลังผ้าม่านมีเงาคนนั่งอย่างสง่างามอยู่รางเลือน เขาก็ไม่ไปสนใจให้มากนัก คิดว่าเป็นเพียงสมาชิกหญิงในตระกูลที่อยากหลีกเลี่ยงคำครหา เขาพูดกับจ่างซุนซิ่นว่า “เรื่องคำสั่งห้ามข้าได้ทราบแล้ว ท่านทั้งสองอยู่ที่ฉางอันมานานเกรงว่าจะมีบางอย่างที่ไม่ทราบ ตลอดมาโยวโจวต้องป้องกันพวกคนจากเผ่าซีและเผ่าชี่ตานสองเผ่าที่อยู่นอกด่าน ที่ผู้บัญชาการซานมีคำสั่งห้ามนี้ก็เพราะความจำเป็นเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็แบกความรับผิดชอบด้านการทหารเอาไว้อยู่”
จ่างซุนเสินหรงนึกถึง ‘สินค้า’ ที่ซานจงรับมาจากคนร่างใหญ่หนวดเคราครึ้มขึ้นมาได้แล้ว นั่นไม่ใช่ชาวซีกับชาวชี่ตานพอดีหรือไร นางฟังออกว่าผู้ว่าการท่านนี้กำลังช่วยพูดให้ซานจงอยู่ คิดว่าเขาอยู่ในกลุ่มขุนนางที่โยวโจวนี้ได้ไม่เลวเลย
ขณะนี้เองเสียงกีบเท้าม้าพลันดังมา
นอกม่านจ้าวจิ้นเหลียนพูดว่า “ผู้บัญชาการซานมาแล้ว!”
นิ้วมือของจ่างซุนเสินหรงหนีบผ้าม่านเปิดขึ้นมามุมหนึ่งแล้วมองออกไป บุรุษที่ทำชั่วร้ายต่อนางก่อนหน้านี้ได้กลับมาแล้ว คนที่ติดตามมากับเขาน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง ซานจงบังคับม้าไปที่ฝั่งตรงข้ามของลำธาร
ทางด้านนี้จ้าวจิ้นเหลียนร้องเรียกเขา “ฉงจวิน มาพบกับรองเสนาบดีจ่างซุนเถอะ”
ซานจงกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว “ข้าไม่อยากล่วงเกินทุกท่าน ไม่ขอเข้าไปแล้วกัน” เขาเอียงศีรษะไปทางหูสืออีเล็กน้อยแล้วกระโดดลงจากหลังม้า นั่งยองๆ ลงไปที่ริมลำธาร ปักดาบยาวไว้ข้างๆ ตัว และวักน้ำขึ้นมาล้างมือ
จ่างซุนเสินหรงนั่งอยู่ที่ฟากนี้ของลำธาร ลอบมองของเหลวสีแดงจากฝ่ามือของเขาที่ลอยมาตามน้ำเป็นสายทีละนิดๆ ฉงจวินเป็นนามรองของเขา นานมากแล้วที่นางไม่ได้ยินนามนี้
เบื้องนอกม่านหูสืออีมาที่ด้านหน้า กำลังแจ้งว่า “ท่านผู้ว่าการมาได้ประจวบเหมาะพอดี พวกเราเพิ่งจับพวกที่มาส่งได้หลายคน สั่งให้คนคุมตัวไปที่คุกใหญ่แล้วขอรับ”
จ้าวจิ้นเหลียนพูดว่า “ลำบากผู้บัญชาการซานแล้ว”
จ่างซุนเสินหรงดูออกแล้ว ที่ซานจงกำลังล้างอยู่คือคราบเลือดที่ติดอยู่บนฝ่ามือ ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้เขาก็เปื้อนโลหิตกลับมาแล้ว นี่เขาต้องลงมือรวดเร็วมากเพียงไรกัน นางอดคิดไม่ได้
นางเห็นเขาล้างมือเสร็จแล้วก็ล้างดาบต่อ จากนั้นก็เก็บดาบเข้าฝัก นั่งลงไปทางด้านหลังอย่างตามสบาย เหยียดขาข้างหนึ่งออกมา
จ้าวจิ้นเหลียนเหมือนกับคุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วก็ไม่เรียกให้เขาเข้ามาหาอีก เพียงหันกลับมาพูดว่า “รองเสนาบดีจ่างซุนคิดว่าอย่างไร”
จ่างซุนซิ่นถามว่า “โจรร้ายเช่นนี้พวกเจ้าจับมายากหรือไม่”
หูสืออีตอบ “ยากที่ใดกัน จวนบัญชาการของพวกเราไม่ใช่พวกถือศีลกินอาหารเจอยู่แล้ว”
ที่จ่างซุนซิ่นรออยู่ก็คือประโยคนี้ “เมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะมีอันใดให้ต้องกังวลเล่า ท่านผู้ว่าการอย่าได้ลืม ถึงอย่างไรพวกเราก็ได้รับพระราชโองการให้มาที่นี่”
จ้าวจิ้นเหลียนเอ่ยรับรองทันที “ย่อมไม่กล้าลืมแน่นอน ฝ่ายเราเพิ่งจะถามท่านว่าคิดเห็นอย่างไร กำลังคิดจะพูดถึงข้อเสนอของข้าอยู่พอดี ตามความเห็นของข้า ทุกท่านจำเป็นต้องเข้าไปในภูเขา ผู้บัญชาการซานก็จำเป็นต้องปิดภูเขาเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นมิสู้ขอให้ทุกท่านเข้าไปในภูเขาภายใต้การคุ้มกันของจวนบัญชาการเสียดีกว่า ถึงอย่างไรท่านรองเสนาบดีก็ยังพาคนในครอบครัวที่เป็นสตรีมาด้วย”
จ่างซุนซิ่นไม่พูดอะไรแล้ว
หูสืออีเหมือนจะไม่เต็มใจ กระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง
ลมพัดผ้าม่านกำบังวูบหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงไพเราะสดใสของสตรีดังออกมา “ขอเรียนถามว่าทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของกองบัญชาการ ผู้ใดมีฝีมือดีที่สุด”
จ้าวจิ้นเหลียนได้ยินเสียงนางก็ยิ้มพลางตอบ “นั่นย่อมต้องเป็นตัวผู้บัญชาการซานเองแล้ว”
“เมื่อเป็นเช่นนี้…” จ่างซุนเสินหรงพูด “ก็ขอให้ผู้บัญชาการซานมาคุ้มครองด้วยตนเองดีหรือไม่ นั่นย่อมจะดีกว่ามิใช่หรือ”
จ่างซุนซิ่นเรียกเบาๆ “อาหรง”
หูสืออีก็เปล่งเสียงเช่นกัน “หือ?”
ทางฟากนั้นของลำธาร ซานจงได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว เขายันดาบลุกขึ้นยืนมองมาที่ฝั่งตรงข้าม
ผ้าม่านผืนนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งของสตรีมองมาที่เขาแล้วก็ปิดลงทันที
นางจงใจ!