บทที่ 7
หลังจากย้ายจากจุดพักม้ามายังที่พักแห่งใหม่ก็ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นเคย นอกจากตอนตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมองเห็นภาพการตกแต่งในห้อง ซึ่งเกือบจะทำให้จ่างซุนเสินหรงนึกว่าได้ย้อนกลับไปในช่วงที่อยู่บ้านสกุลซานอีกครา หลังจากนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ ตอนนี้นางเข้ามาอยู่ในสถานที่ของอดีตสามี แต่นั่นจะเป็นอย่างไรเล่า ในเมื่อเขาไม่สนใจเลยสักนิด แล้วนางยังมีเรื่องใดให้กระดากอายด้วย
ยามเช้าตรู่ นอกประตูจวนมีรถม้าจอดอยู่ จ่างซุนเสินหรงนั่งอยู่บนรถม้าตั้งนานแล้ว
บนหัวเข่านางมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางแผ่อยู่ มือข้างหนึ่งถือม้วนหนังสือเอาไว้ บนกระดาษคือภาพร่างคร่าวๆ ของ ‘ภูเขาดิน’ ลูกนั้น ซึ่งก็คือภาพเส้นทางและสภาพแวดล้อมของภูเขา
นางเคยเห็นเส้นทางนี้มาแล้ว ทั้งได้ไปดูในม้วนหนังสืออีก พบว่าตัวอักษรในหนังสือยากที่จะเข้าใจเหลือเกิน คนธรรมดาทั่วไปถึงขั้นที่รู้สึกว่าประโยคเหล่านี้อ่านไม่รู้เรื่อง แต่ก็เพราะสาเหตุนี้เอง ความสามารถในการตีความให้เข้าใจจึงเป็นสุดยอดของความสามารถแล้ว
จ่างซุนเสินหรงไม่เพียงสามารถอ่านรู้เรื่อง ยังสามารถทำให้เกิดความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกด้วย ถึงขั้นที่ว่าสามารถเปลี่ยนจากตัวอักษรออกมาเป็นภาพได้ บางครั้งการกำหนดตัวภูเขาและหายอดเขาก็เป็นเพียงความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวอักษรระหว่างแถวเท่านั้นเอง แล้วนางก็เป็นคนที่สามารถส่องเห็นความลับได้พอดี
วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจ ช่างเป็นวันที่สดใสปลอดโปร่ง
มีคนเดินเอื่อยๆ มาถึงนอกตัวรถ มือข้างหนึ่งเลิกม่านรถมองเข้ามา เป็นจ่างซุนซิ่น
“จ้าวจิ้นเหลียนเองน่ะหวังดี แต่พี่มักจะรู้สึกว่าเขาหวังดีแต่ทำเรื่องร้ายๆ ไปที่ใดก็มีแต่ซานจง” เขาอ้าปากก็พูดเช่นนี้ น่ากลัวว่าคงจะอดกลั้นมานานแล้ว
จ่างซุนเสินหรงคล้ายไม่ค่อยได้ฟัง นางเอาม้วนหนังสือเก็บกลับเข้าไปในถุงผ้าปักลาย แล้วพับแผ่นกระดาษขึ้น
เขาพินิจพิจารณาสีหน้าของนาง “เหตุใดไม่พูดอะไรเล่า”
ตอนนี้เองจ่างซุนเสินหรงถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มออกมา “ท่านพูดติดปากอยู่เสมอว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่หรือ ตอนนี้ข้ากำลังจะไปสำรวจภูมิลักษณ์อีกครั้ง และจะไปสำรวจภูเขาดินนั่นเอง”
จ่างซุนซิ่นพอได้ยินสองตาก็เป็นประกาย รู้ทันทีว่า ‘ภูเขาดิน’ นั้นน่าจะต้องมีแนวโน้มออกมาดี จากนั้นพอรู้สึกตัวกลับมานางก็เปลี่ยนเรื่องไปแล้ว เขารู้จักนิสัยของน้องสาวตนเองเป็นอย่างดี นางต้องการจะทำสิ่งใด ปกติเมื่อตัดสินใจแล้วก็จะรีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็เหมือนเรื่องที่นางเจาะจงซานจงให้มาเป็นผู้คุ้มกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขายังจะพูดอะไรได้อีก จึงสะบัดมือเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เจ้าพอใจก็ดีแล้ว”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้า ทหารกลุ่มหนึ่งขี่ม้าเร่งรุดเข้ามาหาอย่างมีระเบียบวินัย
พอจ่างซุนเสินหรงได้ยินมือข้างหนึ่งก็วางบนขอบหน้าต่าง ถามไปที่ข้างนอกว่า “รอนานเพียงใดแล้ว”
จื่อรุ่ยรายงาน “เกือบหนึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ”
นางเบะปากเล็กน้อย “นานพอแล้วจริงๆ”
ที่มาคือทหารม้าของจวนบัญชาการ จนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้ออกเดินทางก็เพราะกำลังรอพวกเขาปรากฏตัวมารับหน้าที่ตามที่สัญญาไว้ ทว่าตอนที่ดวงตาของนางมองออกไปกลับไม่เห็นเงาร่างที่โดดเด่นสะดุดตานั่นเลย
หลังจากทหารม้ากองนั้นหยุดลง ชายสวมชุดเกราะที่นำอยู่หน้าขบวนผู้หนึ่งก็ลงมา ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “นายกองจางเวย ได้รับคำสั่งให้มาเบิกทางเข้าภูเขาให้ท่านทั้งสอง”
จ่างซุนซิ่นกวาดตามองรอบหนึ่ง “มีแค่เจ้า?”
จางเวยตอบ “ใต้เท้าวางใจได้ ทหารของข้ากองนี้เป็นทหารชั้นยอด สามารถคุ้มกันได้แน่”
ซานจงไม่ได้มาจริงๆ เสียด้วย
จ่างซุนซิ่นเพียงมองเห็นใบหน้าของจ่างซุนเสินหรงผละไปจากหน้าต่างก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว จึงรีบพูดว่า “ก็ไม่เช้าแล้ว ออกเดินทางก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” พูดจบก็หันกลับไป
เขากลับเห็นจ่างซุนเสินหรงยื่นตัวออกมาจากตัวรถ
“จูงม้ามาให้ข้าตัวหนึ่ง” นางกล่าว
ตงไหลรีบไปที่ท้ายขบวนจูงม้าเข้ามาทันที
จ่างซุนเสินหรงยกชายเสื้อแล้วลงจากรถ รับบังเหียนม้ามา สะกิดเท้าพลิกตัวคราหนึ่งอย่างชำนิชำนาญก็ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าแล้ว “ตงไหลไปกับข้า พวกเจ้าไปก่อนแล้วกัน ข้าจะตามไปทีหลัง” พูดจบนางก็หนีบท้องม้าทีหนึ่ง ขี่ม้าออกไปต่อหน้าต่อตาคนทั้งหมด
ตงไหลรีบควบม้าตามไปจนทัน
จ่างซุนซิ่นมองตามอย่างจนปัญญา แต่กลับมองออกว่านางก็หาทางออกอื่นไม่ได้ด้วยเช่นกัน