ไม่มีการพูดคุยกันตลอดทาง มีเพียงตงไหลคอยติดตามจ่างซุนเสินหรงอย่างใกล้ชิด กองทหารที่อยู่ด้านหลังเพียงติดตามมาตลอดทางอย่างไม่ช้าไม่เร็วเท่านั้น
จ่างซุนเสินหรงไม่หันกลับไปมองแม้แต่แวบเดียว ต่อให้บางครั้งจะสามารถกวาดตาจากหางตาเห็นชายเสื้อของบุรุษผู้นั้นได้ ก็จงใจจะมองตรงไปเบื้องหน้าเท่านั้น
ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงมากแล้วตอนที่เข้าสู่ภูเขาอย่างราบรื่น
จ่างซุนเสินหรงไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย นางพุ่งตรงไปยังพื้นที่เป้าหมาย
ตอนที่เห็นภูเขาดินลูกนั้นอีกนางก็ลงจากหลังม้า พูดกับตงไหลว่า “ไปดูสักหน่อยว่าพี่ชายข้ามาถึงแล้วหรือไม่ บอกให้เขาไปพบกับข้าที่เชิงเขาลูกนั้น”
ตงไหลมองซานจงแวบหนึ่ง มั่นใจว่านางปลอดภัยดีถึงได้รับคำสั่งแล้วไป
ทางด้านนี้ซานจงยกมือขึ้น วาดไม้วาดมือส่งสัญญาณไปทางหูสืออี
นี่เป็นรหัสลับในหน่วยรักษาการณ์ของพวกเขา คนที่อยู่ด้านหลังรับคำสั่ง พาคนกระจายไปยังรอบด้าน เพื่อสำรวจตรวจตราเที่ยวหนึ่งก่อน
ซานจงกระโดดลงจากม้า หันหน้ากลับไปมองก็เห็นจ่างซุนเสินหรงเดินไปข้างหน้าแล้ว
จ่างซุนเสินหรงแค่อยากจะเดินตรงไปที่ภูเขาดินเลย และก็ไม่หวังว่าคนผู้นั้นจะเข้ามาคุ้มครองตนจริงๆ กลับไม่รู้ว่าตนเองเดินอยู่เพียงลำพัง
ใครจะคาดคิดว่าเดินมาไม่เท่าไร เบื้องหน้าก็มีหล่มโคลนปรากฏขึ้นในสายตา คำนวณด้วยสายตาต้องกว้างมากกว่าสามจั้ง* แต่กลับไม่รู้ว่าลึกเท่าไร ดูเหมือนหนองบึงแต่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตรงกลางยังมีก้อนหินโผล่ออกมาประปราย พอจะฝืนทำเป็นทางเดินได้
นางยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปเหยียบๆ รู้สึกว่ามั่นคงจึงวางใจเหยียบลงไป คิดจะข้ามผ่านไป
“เจ้าทำอะไร”
จ่างซุนเสินหรงเงยหน้าขึ้นทันที ซานจงกำลังมองนางมาจากฝั่งตรงข้ามอย่างสงบนิ่ง
นางมองซ้ายมองขวา “ท่านข้ามไปได้อย่างไร”
ซานจงขี่ม้ามาจากช่องแคบอีกด้านหนึ่งตัดทะลุเข้าไปตรงๆ เดิมทีหล่มโคลนนี้ก็คือแนวป้องกันที่จวนบัญชาการของเขาทำเอาไว้ เพื่อใช้ป้องกันพวกนอกด่านฉวยโอกาสบุกรุกเข้ามาในตอนกลางคืน แต่เขาไม่บอก
“ไม่ต้องสนใจว่าข้าข้ามมาได้อย่างไร” เขากอดดาบอยู่ มองที่ใต้เท้าของนางแวบหนึ่ง “เจ้าคิดจะข้ามมาเช่นนี้หรือ ไม่กลัวว่านี่เป็นกับดัก?”
จ่างซุนเสินหรงที่เหยียบย่างออกมาหลายก้าวแล้วหยุดอยู่ที่กลางหล่มมองดูเขาอยู่
ขณะนี้ซานจงถึงได้สังเกตเห็นว่าใต้เสื้อคลุมกันลมของนางที่สวมใส่อยู่คือชุดชาวหูที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหว เป็นเสื้อตัวสั้นรัดเอวเข้ารูปทอด้วยไหมปักลวดลายหลากสี ชายเสื้อยาวถึงเพียงแค่หัวเข่า เผยให้เห็นน่องเรียวตรงทั้งคู่ ยามนี้นางดูเกลี้ยงเกลาปราศจากธุลีกลางหล่มโคลนสกปรก ช่างเหมือนกับนกกระเรียนกำลังยืนอยู่ เขามองอีกชั่วขณะก็พูดว่า “ถอยกลับไป”
จ่างซุนเสินหรงไม่ขยับ “ไม่ได้ ข้าต้องข้ามไป”
“พี่ชายของเจ้าน่าจะรออยู่ทางด้านโน้นมากกว่า หากอยากไปพบเขาก็ถอยกลับไป” เขาไม่รู้ว่านางจะดึงดันไปเพื่ออันใด ในภูเขานี้มีกิจธุระใดที่เกี่ยวกับนางกัน
จ่างซุนเสินหรงลูบๆ ช่วงอก ม้วนหนังสือก็สำคัญไม่ต่างไปจากตัวนาง นางเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยปากว่า “ท่านช่วยพาข้าข้ามไปสิ”
ซานจงยิ้มแล้ว “ช่วยไม่ได้หรอก นี่ต้องถึงเนื้อถึงตัว ‘ผู้สูงศักดิ์’ ควรหลีกเลี่ยงคำครหาถึงจะดีที่สุด เจ้ากับข้าไม่ใช่อย่างเมื่อตอนนั้นแล้ว”
ลมภูเขาพัดผ่านข้างหูเป็นระลอกๆ คมมีดที่ทิ่มแทงหัวใจของจ่างซุนเสินหรงโผล่ขึ้นมาอีกแล้ว นางยึดเสื้อคลุมกันลมเอาไว้ พูดใส่เขาอย่างเรียบๆ “ไม่ช่วยก็ช่างเถอะ รอคนอื่นมาก็ได้เหมือนกัน”
นางยังคงไม่ถอย
ซานจงสำรวจดูบรรดาหินเหล่านั้น ข้างใต้นี้มีกลไกที่เหยียบลงไปแล้วถึงจะเกิดเรื่อง ที่นางเหยียบลงไปหลายก้อนนั้นล้วนแต่ไม่เกิดเรื่องเพราะเป็นแค่เหยื่อล่อ แต่ถ้ายังเดินหน้าต่อไปคงจะไม่โชคดีเช่นนั้น ไม่แน่หากไปต่ออีกก้าวหนึ่งก็จะขึ้นมาไม่ได้แล้ว
จ่างซุนเสินหรงไม่มองเขาอีก ด้วยยืนนานเกินไปขาจึงเริ่มแข็งขึ้นมาบ้าง แต่นางยังอดทนอยู่
จู่ๆ ตรงหน้าก็มีเงาคนเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน นางมองไปตามสัญชาตญาณ บุรุษในชุดดำที่ดูเคร่งขรึมยืนอยู่บนก้อนหินตรงหน้า นางเบนสายตามอง “ไม่ใช่อยากจะหลีกเลี่ยงคำครหากับ ‘ผู้สูงศักดิ์’ อย่างข้าหรอกหรือ”
ซานจงไม่ตอบคำ มือหนึ่งขว้างดาบไปที่ริมหล่มโคลน ปลดเข็มขัดรัดเอวออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน เข็มขัดที่ทำจากหนังรัดติดกับเสื้อตัวนอกและเกราะที่ใช้ป้องกันช่วงเอว เขาถอดออกมาลองวัดความยาวดู
จ่างซุนเสินหรงเพิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ฉับพลันตรงเอวนางก็ถูกรัดแน่น สายเข็มขัดเส้นนั้นโอบผ่านเอวด้านหลังของนาง ก่อนดึงกลับไปคราหนึ่ง นางหันรกายกลับไป ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เท้าเหยียบลงบนก้อนหินที่มีเขาอยู่ จนใบหน้าแนบชิดติดกับอกของเขา
ซานจงไม่ได้ใช้มือ แต่ใช้วิธีการนี้ลากนางเข้าไป
หัวใจของจ่างซุนเสินหรงพลันเต้นรัวเร็วขึ้นมาทันที คว้าจับไปที่สาบเสื้อของเขาอย่างไม่รู้ตัว พอเงยหน้าขึ้นอย่างแตกตื่น ก็สบเข้ากับดวงตาที่ลึกล้ำดำมืดของเขา ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายยิ่งนัก
“ยกให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ต่อไปเมื่ออยู่ในเขตพื้นที่ของข้า เจ้าต้องเชื่อฟังหน่อยล่ะ”