จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 7-บทที่ 8
บทที่ 8
จ่างซุนซิ่นเร่งรุดมาตามเส้นทางริมลำธารในครั้งก่อนนั้นกลับราบรื่นดี ตอนที่มาถึงเชิงภูเขาดินลูกนั้นก็มองเห็นเงาร่างของน้องสาวในทันที
จ่างซุนเสินหรงนั่งยองๆ อยู่ข้างต้นไม้ต้นหนึ่งโดยไม่ขยับไม่เขยื้อน ในมือถือม้วนหนังสือเอาไว้
เขานึกว่านางค้นพบอะไรเข้าแล้ว จึงรีบเดินเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว กลับพบว่าใบหน้าของนางดูนิ่งมาก และไม่ได้กำลังอ่านหนังสืออยู่สักนิด แต่ไม่รู้ว่ากำลังเหม่อคิดเรื่องใด กำลังจะออกปากถามจ่างซุนเสินหรงก็เงยหน้าขึ้นเห็นเขาแล้ว สายตากะพริบวิบวับ
จ่างซุนซิ่นเห็นลักษณะของนางเหมือนกับเห็นเขาเป็นคนอื่นไปแล้ว จึงถามอย่างรู้ใจกันว่า “ได้ยินตงไหลบอกว่าซานจงยังคงคุ้มกันเจ้ามาส่ง แล้วเขาเล่า”
“ทางด้านโน้น” จ่างซุนเสินหรงชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
นางรออยู่ที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ถูกซานจงใช้เข็มขัดเส้นหนึ่งลากมาจนถึงตรงเบื้องหน้านั้น นางแนบชิดติดอยู่กับด้านหน้าตัวเขา ทันทีที่มองเห็นไหล่บ่ากว้างใหญ่ของเขา ไม่รู้เหตุใดนางถึงหวนกลับไปคิดถึงฝันที่เคยเกิดขึ้นในตอนที่เดินทางมานั้นทันที
ชั่วพริบตานั้นแผ่นอกของเขาเหมือนกับจะร้อนลวกขึ้นมา ภาพของบ่ากว้างเอวแข็งแรงของบุรุษกับภาพในฝันซ้อนทับกัน ยิ่งหวนนึกถึงหัวใจก็ยิ่งเหมือนจะกระโดดพรวดออกมา นางเกือบจะถอยแล้ว กลับถูกเขาใช้เข็มขัดรัดจนร่างแนบชิดมากเข้าไปอีก
‘ถ้ายังเคลื่อนไหววุ่นวายอีก เจ้ากับข้าคงต้องลงไปด้วยกันแล้ว’ เขาส่งเสียงเตือน
ท้ายที่สุดจ่างซุนเสินหรงก็ดึงเข็มขัดของเขาเอาไว้ แล้วถูกเขาพาลากผ่านหล่มโคลนนั้นไปได้ พอหยุดลงนางก็คลายมือแล้วเดินถอยออกมา จากหางตาเห็นเขาที่อยู่ด้านหลังมองนางอยู่พลางผูกเข็มขัดกลับไปด้วย
“พี่”
จ่างซุนซิ่นเพิ่งมองไป ‘ทางด้านโน้น’ พลันได้ยินนางร้องเรียกตนด้วยน้ำเสียงจริงจัง จึงหันกลับมาทันที “มีอะไรหรือ”
นับจากเมื่อครู่จ่างซุนเสินหรงก็กำลังคิดถึงเรื่องหนึ่งอยู่ “ท่านว่าที่เวลานี้เขาเป็นเช่นนี้ จะเคยสำนึกเสียใจบ้างหรือไม่”
จ่างซุนซิ่นรู้ว่านางกำลังถามถึงเรื่องอะไร ถึงแม้คนแซ่ซานจะไม่มีวงศ์ตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง ไม่โด่งดังมีหน้ามีตาเหมือนกับเมื่อก่อน ก็ยังดูไม่ออกว่าจะมีท่าทางสำนึกเสียใจตรงที่ใด แต่บรรพชนน้อยของบ้านเขาถามมาแล้ว เขาจึงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นต้องแน่นอน ข้ามั่นใจว่ากลางดึกตอนที่เขาฝันจะต้องนึกถึงอยู่บ่อยๆ แน่ ต้องสำนึกผิดจนน้ำตานองติดผ้าห่มเชียวล่ะ!”
ครั้นจ่างซุนเสินหรงได้ยินก็รู้ว่าเขาเพียงปลอบใจตนเท่านั้น จึงมองเขาอย่างหงุดหงิดแวบหนึ่งแล้วทำเหมือนไม่เคยถามมาก่อน
ผ่านไปชั่วประเดี๋ยว จู่ๆ นางก็พูดว่า “ข้าอยากเห็นเขาสำนึกเสียใจ”
จ่างซุนซิ่นอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นในใจก็กระจ่างแจ้งดุจคันฉ่อง
จ่างซุนเสินหรงไม่ใช่คนทั่วๆ ไป นับแต่เล็กจนโตล้วนได้รับความรักใคร่เอ็นดูเต็มเปี่ยมมาตลอด ทั้งยังมีพรสวรรค์เหนือผู้คน ได้รับความสนใจเอาใจใส่อย่างที่สุดประหนึ่งเมฆที่ลอยสูงอยู่บนฟ้า ไม่เคยมีใครสร้างความล้มเหลวให้นางมาก่อน…นอกจากซานจง เขาเป็นคนเดียวที่กล้ากระชากนางจากหมู่เมฆลงมา ปากนางบอกว่าไม่สนใจ แต่ไหนเลยจะไม่สนใจได้จริงๆ นอกจากนี้ซานจงยังคงไม่ปล่อยให้นางได้สมปรารถนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จวบจนบัดนี้ก็ยังคงยั่วยุนางอยู่ตลอด
จ่างซุนซิ่นพลันสงสัยว่าพวกเขาสองคนเมื่อครู่นี้ใช่เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่อีกแล้วหรือไม่ เขาคิดแล้วคิดอีก จึงถามขึ้น “ถึงทำให้เขาสำนึกเสียใจได้จริง แล้วจะอย่างไรหรือ” เกือบจะพูดออกไปแล้วว่า ‘ยังจะสามารถสานชะตาสืบต่อไปกับเขาได้สำเร็จหรือไร’
ความคิดของจ่างซุนเสินหรงลอยวนเวียน กระแสคลื่นในดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางยิ้มอย่างนุ่มนวล “เมื่อถึงเวลานั้นจริงแล้วเป็นอย่างที่ท่านพูด ที่ว่าจะไปประสบกับฤดูวสันต์อีกครั้ง ข้าค่อยหาบุรุษที่ดีกว่าเขาร้อยเท่าพันเท่าแต่งงานอีกทีแล้วกัน” บุรุษในฝันผู้นั้นจะต้องไม่ใช่เขาอย่างเด็ดขาด
นางลุกขึ้นยืน มือหนึ่งลูบๆ จอนผม กลับมาเป็นจ่างซุนเสินหรงที่มีจิตใจฮึกเหิมคนนั้นอีกครั้ง
ซานจงยืนพิงต้นไม้อยู่
ด้านหนึ่งคือหูสืออีที่เพิ่งกลับหลังจากลาดตระเวนบริเวณใกล้เคียงเสร็จ กับจางเวยที่คุ้มครองส่งจ่างซุนซิ่นมา
“เหตุใดท่านหัวหน้าถึงมาเองแล้วเล่า” จางเวยแอบถามหูสืออี
หูสืออีกระซิบ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน คุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นไปที่จวนบัญชาการเที่ยวหนึ่ง เขาก็มาเลย”
หือ? จางเวยมองไปทางด้านนั้นด้วยสีหน้าสงสัยยิ่งยวด
ชั่วขณะนั้นซานจงก็กวักมือเรียกมาทางพวกเขา
ทั้งสองคนรีบหุบปากแล้วเดินเข้าไป
“มีอะไรหรือ ท่านหัวหน้า”
ซานจงเอ่ยว่า “แจ้งพวกด่านสกัดทั้งหมดที่พวกเราจัดทำไว้ที่เชิงเขาลูกนี้ให้พวกเขาทราบหน่อย”
หูสืออีมองไปที่จางเวย ยังไม่ส่งเสียงอะไร อยู่ๆ ก็มีเสียงสตรีดังมาจากด้านหลัง “ท่านพูดกับข้าเองก็ไม่เห็นเป็นไร”
ซานจงหันกลับไป จ่างซุนเสินหรงยืนอยู่ที่ข้างหลังนี้เอง เขามองประเมินนาง เห็นสีหน้านางดูสงบนิ่ง ที่วิ่งเสียเร็วก่อนหน้านี้กลับไม่มีแล้ว
“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาแจ้งแก่พี่ชายท่านแล้วกัน” ได้ยินน้ำเสียงที่นางพูด ซานจงค่อนข้างรู้สึกว่าคนที่เป็นเจ้านายของที่นี่ก็คือนางแล้ว
“ใครยังจะรู้แจ่มแจ้งได้เหมือนท่าน” จ่างซุนเสินหรงเลิกคิ้วใส่เขาเล็กน้อย เหมือนกับกำลังเตือนสติเขาว่าก่อนหน้านี้ผู้ใดกันที่เป็นคนพานางผ่านไปที่หล่มโคลนนั่น
ซานจงพลันค้นพบว่าดวงตาของนางฉายแววฉลาดเฉลียวอย่างน่าทึ่ง นัยน์ตาทั้งดำทั้งเป็นประกาย เมื่อครู่นี้ตอนที่นางแนบชิดอยู่ตรงเบื้องหน้าร่างกายของเขา ที่มองดูเขาก็คือดวงตาคู่ที่เหมือนกันเช่นนี้เอง
ระหว่างที่พูดกันอยู่ จ่างซุนซิ่นก็มาถึงตรงหน้าแล้ว
ในบรรดาลูกหลานตระกูลใหญ่เขาเคยค่อนข้างมีชื่อเสียงเนื่องจากความสามารถของตระกูล ลั่วหยางมีสกุลซานและสกุลชุย ฉางอันมีสกุลจ่างซุนและสกุลเผย พวกเขาซึ่งเป็นลูกหลานตระกูลเก่าแก่เหล่านี้มีอยู่ไม่น้อยที่ตอนยังหนุ่มเคยถูกคนข้างนอกจับมาเปรียบเทียบกัน
ซานจงโดดเด่นสะดุดตาที่สุด ถูกเปรียบเทียบบ่อยที่สุด จ่างซุนซิ่นก็มีบางส่วนถูกนำไปเปรียบเทียบในทำนองเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ จนกระทั่งต่อมาอีกฝ่ายกลายมาเป็นสามีของน้องสาว ต่อจากนั้นอีกซานจงกับน้องสาวแยกทางกันแล้วก็เหมือนกับหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย เวลานี้สภาพการณ์เปลี่ยนแปลง ศักดิ์ฐานะเปลี่ยนไป เมื่อต้องประจันหน้ากันก็เพิ่มความลึกลับเปราะบางขึ้นอีกมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประโยคนั้นของน้องสาวตนที่เพิ่งได้ยินไป
คราวนี้จ่างซุนซิ่นไม่วางท่าเป็นขุนนางอีกแล้ว ราวกับไม่เคยด่าว่าซานจงสายตาไม่ดีมาก่อน เขาเอามือไพล่หลัง ช่วยสนับสนุนคำพูดน้องสาวสุดที่รัก “ต้องขอบคุณท่านผู้บัญชาการซาน บอกกับอาหรงหรือบอกกับข้าก็เหมือนกัน”
ซานจงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็มองจ่างซุนเสินหรงอีกทีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงหยิบแผนที่ออกมาจากอกเสื้อแล้วสะบัดคลี่ออก
จ่างซุนเสินหรงก้าวเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว ดึงมุมหนึ่งของแผนที่ขึ้นมา