จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 7-บทที่ 8
เขายกมือชี้ไปที่บริเวณโดยรอบสามด้านท่ามกลางภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งก็คือภูเขาดินที่อยู่ตรงเบื้องหน้านี้เอง แต่ในแผนที่ทางการทหารของเขาแผ่นนี้ระบุชื่อเอาไว้ว่า ‘เขาวั่งจี้’
ทั้งสองคนยืนเคียงข้างอยู่ด้วยกัน หูสืออีกับจางเวยที่อยู่อีกด้านหนึ่งมองไปมองมาก็เข้ามายืนชิดกันโดยไม่รู้ตัว
หูสืออี “เหตุใดข้าดูแล้วท่านหัวหน้ากับคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นี้ยืนอยู่ด้วยกันแล้วช่าง…”
จางเวยกระซิบเสียงเบา “เหมาะสมกัน? ข้าก็รู้สึกอย่างนั้น”
หูสืออีลอบอุทานในใจว่าประหลาด ถึงแม้คุณหนูผู้เอาแต่ใจตัวจะเจ้าอารมณ์และหยิ่งยโส ยากจะรับมือได้ แต่ในความเป็นจริงก็เป็นสาวงามที่ยากจะพานพบ ซานจงยิ่งไม่ต้องพูดถึง บรรดาอันธพาลเก่าอย่างพวกเขาทั้งกลุ่มล้วนรู้สึกว่าหัวหน้าของพวกเขาหล่อเหลาสง่างามมาก เมื่อสองคนนี้มาอยู่ร่วมกันแล้วช่างสะดุดตาผู้คนเหลือเกิน
นิ้วมือของซานจงชี้ไปบนแผนที่แค่สามตำแหน่งเท่านั้น พอหันมองจ่างซุนเสินหรง นางก็ไม่ได้ดูแผนที่แล้ว แต่กำลังดูม้วนหนังสือที่อยู่ในมือนาง หลังกวาดตามองอย่างรวดเร็วเพียงแวบเดียวก็ม้วนเก็บกลับไป
ตอนที่ม้วนหนังสือนั้นถูกเก็บเข้าไปในถุงผ้าปักลาย ชื่อของหนังสือตรงหัวม้วน ‘หลักสตรี’ ก็ผ่านหน้าเขาไปแวบหนึ่ง ปกตินางอ่านของอย่างนี้ด้วยหรือ เขาอดมองจ่างซุนเสินหรงอีกแวบหนึ่งไม่ได้
“ข้าจำได้แล้ว” นางพูดหลังจากเก็บม้วนหนังสือแล้ว
“จริงหรือ” เขาสงสัยว่านางคงจะไม่ได้ดูอย่างละเอียดเป็นแน่
“แน่นอน ชัดเจนแจ่มแจ้ง” เมื่อครู่นี้นางดูม้วนหนังสือไปก็เพื่อจะแสดงจุดยืนในการตอบโต้สักหน่อยเท่านั้นเอง
ซานจงฟังแล้วก็ยิ้มอย่างเกียจคร้าน แล้วแต่นางเถอะ ถึงเวลาก็อย่าไปติดอยู่ในที่ใดสักที่จนต้องร้องให้คนมาช่วยได้ก็จะดี
ไหนเลยจะรู้ว่าประโยคถัดมาของนางจะพูดว่า “ต่อให้จำไม่ได้ก็ไปหาท่านอีกได้นี่”
เขาหุบยิ้มทันที ครั้นช้อนตาขึ้นมองไปก็เห็นนางเดินไปทางจ่างซุนซิ่นแล้ว ราวกับประโยคเมื่อครู่นั้นไม่ใช่นางเป็นผู้พูด กระทั่งจะมองเขาสักแวบก็ไม่มี
จ่างซุนซิ่นนำหน้าพาผู้คนทั้งหมดเดินลึกเข้าไปในเขาวั่งจี้
จางเวยถึงอย่างไรก็ต้องคุ้มครองพวกเขาอยู่ จึงจ้องตรงไปที่พวกเขาแล้วก็สงสัย “หรือว่ารองเสนาบดีจ่างซุนท่านนี้คิดว่าในเขาลูกนี้มีแร่อยู่หรือ”
หูสืออีที่เพิ่งจะระงับความรู้สึกนึกคิดแปลกๆ เมื่อครู่นี้ไปปฏิเสธทันควัน “ล้อเล่นแล้ว สถานที่นี้พวกเราอยู่มาสามปี ถ้าจะมีอะไรก็คงค้นพบไปนานแล้วล่ะ”
ซานจงถือดาบผ่านมาทางด้านข้าง กวาดตามองเขาแวบหนึ่ง “มีความสามารถถึงเพียงนี้เชียว? เปลี่ยนให้เจ้าไปอยู่กรมโยธาดีหรือไม่”
หูสืออีสะดุ้งเฮือก ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ขออย่าได้รู้เรื่องที่พวกเขาเพิ่งจะซุบซิบนินทาระหว่างเขากับคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นถึงจะดี
“ท่านหัวหน้า ท่านดูสิ” เขาทำปากยื่นไปทางจ่างซุนเสินหรง “หรือท่านเชื่อว่าทางด้านนั้นมีแร่”
ซานจงมองไปทางคณะนั้นอีกครั้ง ที่สะดุดตาที่สุดยังคงเป็นจ่างซุนเสินหรง เดิมจ่างซุนซิ่นนำอยู่หน้าขบวน ทว่าตอนนี้กลับเดินอยู่ข้างหลังนางไปแล้ว
เขามองแล้วมองอีก และก็ค้นพบเรื่องน่าประหลาดว่าไม่เพียงแค่จ่างซุนซิ่น แม้แต่คนอื่นๆ ทั้งหมดก็ล้วนเดินตามหลังนางอยู่
ลมภูเขาพัดเสื้อคลุมของนางปลิวขึ้น นางเดินอยู่ที่เชิงเขาอย่างช้าๆ สองตาสอดส่ายมองไปรอบด้านเที่ยวหนึ่ง
“ลักษณะของภูเขาตั้งอยู่ทางเหนือ เอียงไปทางตะวันออก เป็นมุมลาดเอียงยาวออกไปร้อยจั้ง ที่ด้านหลังของมันน่าจะต้องมีแม่น้ำอยู่” มือหนึ่งของนางวาดไปตามแนวลักษณะภูเขาออกมาเป็นเส้นเส้นหนึ่ง ลากลงมาจนสุด
เพิ่งพูดขาดคำ ตงไหลที่พาคนไปสองคนก็เร่งฝีเท้ากลับมาจากที่ไกลๆ มาถึงก็ก้มศีรษะลงรายงานว่า “ประมุขน้อย มุมตะวันออกของภูเขามีแม่น้ำขอรับ”
จ่างซุนซิ่นระบายลมหายใจเฮือก ยิ้มพลางพูดว่า “ตรงหมดเลย”
คำชี้แนะทั้งหมดที่ทิ้งไว้ให้พวกเขาในม้วนหนังสือที่ตกทอดมาจากบรรพชนนั้น ล้วนใช้ประโยชน์จากทางเดินของแม่น้ำ ภูเขา หนองบึงต่างๆ เวลานี้นางสามารถนำมันมาเปรียบเทียบกับสถานที่นี้ได้โดยไม่มีผิดพลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียว เช่นนั้นที่นี่ต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน
สีหน้าจ่างซุนเสินหรงก็ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน “เก็บรวบรวมลักษณ์เถอะ”
สำรวจภูมิลักษณ์ ที่สำรวจก็คือลักษณะภูมิประเทศของขุนเขาและแม่น้ำเพื่อเก็บรวบรวมลักษณ์ ที่เก็บรวบรวมแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นสิ่งที่โผล่ออกมาเป็นรูปลักษณ์ให้เห็นของภูมิประเทศในสถานที่แห่งนี้
ตงไหลพาคนตามขึ้นมาจนทัน
จ่างซุนเสินหรงเดินๆ หยุดๆ ไปทางแม่น้ำที่อยู่ด้านตะวันออกของภูเขาตลอดทาง บางครั้งที่หยุดลงก็จะใช้ปลายเท้าแตะๆ ลงบนพื้นดินสองที บางครั้งที่แตะก็เป็นหินก้อนหนึ่ง บางครั้งก็เป็นหญ้ากอหนึ่ง
ตงไหลก็จะพาคนมาเก็บสิ่งเหล่านี้แล้วเอาติดตัวไปด้วย
การเก็บทั้งหมดกินเวลาเนิ่นนาน รอจนจ่างซุนเสินหรงเสร็จสิ้นภารกิจเวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว นางเดินกลับพลางกวาดตามองแต่ไกลจากทิศทางที่มากลับไม่เห็นซานจง
หูสืออีกับจางเวยรออยู่ที่เดิมอย่างน้อยสองชั่วยามแล้ว ถึงเห็นคนคณะนั้นกลับมา
องครักษ์ที่ติดตามเหล่านั้นนำสิ่งของออกมาด้วย ในมือแต่ละคนถือกระสอบผ้าอยู่ พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นการขุดหาแร่มาก่อน จึงมองหน้ากันอย่างงุนงง ต่างรู้สึกว่าแปลกใหม่
จ่างซุนเสินหรงยังคงเดินอยู่หน้าสุด เมื่อมาถึงเบื้องหน้าพวกหูสืออี ตงไหลก็จูงม้าของนางมา นางขึ้นนั่งบนหลังม้าแล้วพูดอย่างไม่แยแสนักว่า “มีแต่พวกเจ้าสองคนหรือ”
หูสืออีตอบว่า “ขอรับ มีแค่พวกเราอยู่สองคน” ในใจกลับกำลังคิดว่า สองคนนำกำลังพลมาสองหน่วยคอยคุ้มกันที่นี่ก็ยังไม่พอใจอีก? นี่ไม่ใช่คุณหนูเอาแต่ใจตัวทั่วไปแล้ว แต่เป็นคนที่สวรรค์เบื้องบนก็ยังต้องเอาใจต่างหาก!
จางเวยค่อนข้างจะสัตย์ซื่อตรงไปตรงมากว่า ตอบอย่างละเอียด “ท่านหัวหน้าไปลาดตระเวนที่ด่านแล้ว เขาบอกว่าที่นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาคิดจะไปก็ไปได้เลย”
ระหว่างที่พูดจางเวยก็หวนนึกถึงภาพของซานจงตอนก่อนที่จะไป อันที่จริงในตอนนั้นท่านหัวหน้ามองดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาในภูเขาอยู่ตั้งนาน สุดท้ายตอนจะไปปากยังพึมพำอยู่ประโยคหนึ่งว่า… ‘น่าสนใจ’
จางเวยไม่รู้เลยว่าซานจงกำลังพูดถึงอะไรว่าน่าสนใจ เรื่องเหล่านี้ยิ่งไม่น่าจะบอกให้กับสตรีผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ทราบ
จ่างซุนเสินหรงคว้าบังเหียนม้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา จู่ๆ นางก็นึกถึงการตัดสินใจของตนเองขึ้นมา จึงอดเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมาไม่ได้
ไปก็ไปสิ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล เขาวิ่งหนีไม่สำเร็จหรอก
เชิงอรรถ
* ดาบอู่โกว คือดาบสัมฤทธิ์ทรงโค้งชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นที่เขตอู่ในสมัยชุนชิว ปัจจุบันคือเมืองซูโจวที่อยู่ในมณฑลเจียงซู ตามตำนานกล่าวไว้ว่าดาบอู่โกวเป็นดาบที่ความยาวประมาณ 1 เมตร คมดาบเหมือนใบหลิว มีความคม เหมาะสำหรับการฟัน ชาวจีนโบราณในยุคหลังพรรณนาถึงดาบอู่โกวว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องแผ่นดินรักษาชายแดน ในที่นี้หมายถึงความมีพลัง
* จั้ง มาตราวัดความยาวที่มาตั้งแต่สมัยโบราณของจีน ซึ่งความยาวสุทธิของ 1 จั้ง แต่ละพื้นที่จะไม่ตรงกัน ปัจจุบันที่จีนแผ่นดินใหญ่ 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร ที่ไต้หวันจะเท่ากับ 3.03 เมตร
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.