จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า
ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 9-บทที่ 10
วันนี้เหอซื่อเตรียมการมาพร้อม จ้าวจิ้นเหลียนพร่ำเตือนนางมาก่อนแล้วว่าถ้าหากนางมีเวลาว่างให้คอยอยู่เป็นเพื่อนแขกจากฉางอันที่เอาแต่ใจตนเองท่านนี้ให้มากๆ นางจึงเลือกจุดหมายเอาไว้หลายแห่ง เพียงให้สตรีผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ได้ฆ่าเวลาสักหน่อยก็ยังดี ดีกว่าจะวิ่งเข้าไปในภูเขาลึกๆ อีก
นางนั่งเป็นเพื่อนจ่างซุนเสินหรงในรถม้าคันเดียวกัน แล้วก็แนะนำสถานที่ที่น่าสนใจในเมืองนี้ไปด้วย เพียงแต่น่าเสียดายที่ตลอดทางนางได้พูดถึงไปเพียงไม่กี่แห่ง หลังจากนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งเฉไฉไปพูดถึงความเป็นมาของโยวโจวแทน…
“ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ตั้งอยู่ที่ชายแดน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพบกับไฟสงคราม พื้นที่ในตัวเมืองตั้งมากเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ สู้ในอดีตไม่ได้ที่มีสถานที่ให้เที่ยวเล่นมากมาย ข้ายังไม่เคยเห็นกับตา เพียงแต่เคยได้ยินสามีเอ่ยถึงว่าปีนั้นที่ประสบภัยสงคราม ต้องขอบคุณผู้บัญชาการซานที่นำทัพอะไรนั่นของเขามาถึงและจัดการให้สงบลงได้ หลังจากนั้นเขาก็เลยกลายเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองอยู่ที่นี่”
จ่างซุนเสินหรงได้ยินเหอซื่อพูดถึงบุรุษผู้นั้นขึ้นมากะทันหันก็ตั้งใจฟังขึ้นมาบ้าง นึกทบทวนอยู่ชั่วขณะจึงพูดว่า “ทัพหลูหลง?”
“ถูกต้อง เรียกว่าเช่นนี้ละ!” เหอซื่อจำได้ในทันที แล้วก็ประหลาดใจ “เหตุใดคุณหนูถึงรู้จักได้”
จ่างซุนเสินหรงย่อมต้องรู้จักแน่ สกุลซานเป็นตระกูลฝ่ายทหารที่โดดเด่นมาตลอด การฝึกทหารใช้ทหารล้วนขึ้นชื่อลือชาว่าร้ายกาจยิ่ง ว่ากันว่าตอนที่ซานจงอายุสิบห้าเพิ่งเข้าค่ายทหารก็เริ่มต้นฝึกฝนทหารด้วยตนเองแล้ว พออายุสิบแปดตอนที่ได้กลายเป็นผู้นำทัพ ที่ควบคุมอยู่ในมือก็คือทัพทหารใหม่ที่เรียกกันว่า ‘ทัพหลูหลง’ กำลังพลหน่วยนี้รับคำสั่งและติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ตอนนี้น่าจะอยู่ในจวนบัญชาการทหารโยวโจวนี้เอง
“เคยได้ยินมาบ้างเท่านั้นเอง” นางตอบไปเรื่อยเปื่อย
เหอซื่อผงกศีรษะ “ก็ใช่ ตัวคุณหนูเองก็มีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง” แต่เดิมนางพูดถึงเรื่องสงครามไปโดยไม่นึกอะไร พอเห็นจ่างซุนเสินหรงที่อยู่ตรงหน้าไม่มีสีหน้าหวั่นกลัวแม้แต่นิดเดียว ราวพูดคุยถึงเรื่องชีวิตประจำวันก็มิปาน จึงอดมองอีกฝ่ายอย่างนับถือไม่ได้ นึกในใจว่าไม่เสียทีที่เป็นคนสกุลจ่างซุน อายุน้อยเพียงนี้ก็มีบุคลิกท่าทางเฉกเช่นคนที่เคยผ่านคลื่นลมมรสุมมาแล้ว ดูไม่เหมือนกุลสตรีในหอห้องอันสูงส่งพวกนั้นที่เท้าไม่เคยก้าวย่างออกจากบ้าน ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
ด้านนอกมีเสียงม้าร้องดังมาพอดี เหอซื่อยื่นศีรษะออกไปมองแวบหนึ่ง “บังเอิญเสียจริง วันนี้จวนบัญชาการลาดตระเวนตรวจตราท้องถนนตามปกติพอดี เดินทางไปพร้อมกับคุณหนูด้วยกันก็ยิ่งวางใจได้มากขึ้นแล้ว”
จ่างซุนเสินหรงเองก็มองไปด้านนอกด้วยเหมือนกัน ทีแรกมองเห็นก่วงหยวนเดินอย่างรวดเร็วไปทางข้างหลังก่อน นางจึงมองตามทิศทางที่เขาเดินไป เห็นม้าหลายตัวหยุดอยู่ที่นอกตรอกบริเวณปลายถนน ในตรอกคลับคล้ายคลับคลาว่ามีเงาร่างในชุดสีดำสายหนึ่ง นางมองไปที่ข้างๆ อีกที เป็นร้านค้าที่ดูดีมากร้านหนึ่ง จึงถามว่า “ที่นั่นขายอะไรหรือ”
เหอซื่อมองดู ที่แท้เป็นร้านขายกำยาน ยากนักที่จ่างซุนเสินหรงจะรู้สึกชื่นชอบนางจึงเสนอว่า “เข้าไปในร้านดูของสักหน่อยก็ดี ไม่เป็นไรหรอก”
จ่างซุนเสินหรงพูดว่า “ก็ได้”
ดังนั้นจึงหยุดรถ ก่อนทั้งสองคนจะลงจากรถเข้าไปในร้าน
เจ้าของร้านเห็นบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่ติดตามแขกผู้มาเยือนที่ดูมีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา จึงเชื้อเชิญแขกผู้สูงศักดิ์เข้าไปในห้องส่วนตัวเป็นพิเศษเพื่อไปลองผงกำยาน
เหอซื่อแนะนำจ่างซุนเสินหรงให้ลองดูอย่างกระตือรือร้น คิดอยู่ว่าอีกสักครู่จะซื้อให้นางเพื่อเป็นการแสดงถึงความตั้งใจอันดี แล้วก็จะได้กระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นอีกชั้นด้วย
สายตาของจ่างซุนเสินหรงกวาดผ่านป้ายไม้รูปร่างเหมือนปลาที่แขวนอยู่บนผนังร้าน แล้วมองเข้าไปในห้องส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นลองดูก็ได้”
จื่อรุ่ยเข้าไปข้างในเป็นเพื่อนผู้เป็นนาย
จ่างซุนเสินหรงเดินไปพลางดูไปพลาง ระหว่างที่จ้องมองก็เข้าประตูไปแล้ว และใช้สายตาส่งสัญญาณให้จื่อรุ่ยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
บนโต๊ะในห้องส่วนตัวจัดวางกล่องกำยานอยู่แถวหนึ่งแล้วเรียบร้อย เหอซื่อยังรังเกียจว่าไม่พอ พูดด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะอยู่นอกห้องว่าอยากจะให้นางเลือกของใหม่ๆ อีก
จ่างซุนเสินหรงกลับไม่ได้ลอง แต่เดินไปข้างหน้าต่างแทน
หน้าต่างของห้องนี้เปิดเป็นช่องแคบๆ ข้างนอกก็คือตรอกสายหนึ่ง ในตรอกมีคนยืนอยู่หลายคน ด้านข้างมีอยู่ด้วยกันสามคน คนที่เป็นหัวหน้าไว้เคราที่สองข้างแก้มจนเต็มหน้า ซึ่งก็คือคนร่างใหญ่ไว้หนวดเคราเสียงแหบห้าวที่อยู่ในจุดพักม้าเมื่อหลายวันก่อนนั้นเอง ข้างๆ กันนั้นคือพรรคพวกอีกสองคนของเขา
คนที่ประจันหน้าอยู่กับพวกเขาคือซานจง เสื้อสีดำพลิ้วสะบัดยืนถือดาบอยู่ตรงนั้น กำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่กับพวกเขาเบาๆ
จ่างซุนเสินหรงอยากจะดูว่าเมื่อครู่นี้เงาร่างนั้นใช่เขาหรือไม่ นางถึงได้ตั้งใจเข้ามาในห้องส่วนตัวนี้ คิดไม่ถึงว่าจะพบเขาเข้าจริงๆ
นางไม่ได้ตั้งใจจะแอบสืบเสาะอะไร แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยชอบพวกที่มีพฤติกรรมหดหัวซ่อนหาง กำลังจะหันกายกลับไปพลันรู้สึกว่าเสียงพูดคุยเบาๆ ของพวกเขาหายไปแล้ว พอเบือนหน้ามาดูอีกครั้ง ใบหน้าซานจงก็หันมาทางนี้แล้ว สองตาประหนึ่งสายฟ้า เหมือนว่าสามารถมองทะลุผ่านร่องหน้าต่างนี้มาค้นพบนางได้
จ่างซุนเสินหรงนิ่งคิดอยู่สักครู่ก็ผลักหน้าต่างเปิดออกไปอย่างสง่าผ่าเผยเสียเลย และมองไปทางเขา “เอ๊ะ ช่างบังเอิญจริงเชียว”
เมื่อพบว่าเป็นนางสายตาของซานจงดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาโอบดาบเดินเข้ามาสองก้าว “บังเอิญจริงหรือ ไม่ใช่แอบฟัง?”
จ่างซุนเสินหรงนั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะให้ดู นิ้วมือชี้ๆ ไปบนโต๊ะ เอากล่องผงกำยานบนโต๊ะขึ้นมาชี้ให้เขาดู “ใครจะแอบฟังท่านเล่า ข้ายุ่งอยู่นะ”
เขาปรายตามองแวบหนึ่ง ฝากล่องล้วนยังไม่ได้เปิด แม้แต่จะโกหกก็ยังพูดไม่เป็น “ยุ่งอันใด ยุ่งกับการแอบฟัง?”
จ่างซุนเสินหรงอยากจะปรายตามองค้อนใส่สักที นางยื่นตัวไปถึงหน้าต่าง เลิกคิ้วพลางพูดว่า “ก็ได้ ข้าได้ยินหมดแล้ว จับข้าไปที่จวนบัญชาการเสียเลยสิ”
ซานจงยังไม่ได้พูดอะไร
ชายหนวดเคราครึ้มก็ทำเสียงจิ๊กจั๊ก “ท่านผู้บัญชาการซาน หรือว่าให้พวกข้าหลายคนไปก่อนดีกว่า”
เขาเอียงๆ ศีรษะไปทางพวกนั้น
ชายร่างใหญ่หนวดเคราครึ้มมองๆ จ่างซุนเสินหรงแล้วก็เดินออกไป จวบจนเดินไปถึงปากตรอกก็หยุดแล้วถามว่า “เรื่องที่ท่านมอบหมายมายังต้องทำต่อไปหรือไม่”
“อืม” ซานจงตอบรับเพียงคำเดียว