บทที่ 10
ตอนพระอาทิตย์ตกจ่างซุนเสินหรงแยกจากเหอซื่อกลับไปที่พัก ใบหน้ายังแฝงไปด้วยรอยยิ้มอยู่ ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมลึกล้ำ
เมื่อเข้าไปในห้องนางก็เห็นจ่างซุนซิ่นนั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรอยยิ้มของนาง จึงถามอย่างอยากรู้ “ดูท่าออกไปข้างนอกกับฮูหยินผู้ว่าการมาเที่ยวหนึ่งจะพอใจมากกระมัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจ่างซุนเสินหรงพลันหายไปทันที “ไม่ใช่หรอก”
เมื่อครู่นางก็แค่นึกถึงสภาพของบุรุษผู้นั้นตอนที่อยู่นอกหน้าต่างเท่านั้นเอง
จ่างซุนซิ่นก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงถอนหายใจคราหนึ่ง “ข้ากลับกำลังวิตกอยู่”
“มีเรื่องอะไร” จ่างซุนเสินหรงถามเสร็จก็คิดขึ้นมา “หรือว่าผลของการเก็บรวบรวมลักษณ์ไม่ดีหรือ”
จ่างซุนซิ่นพยักหน้า “ยังไม่หมด ทางฉางอันยังส่งจดหมายมาด้วย” เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งไปให้นาง
จ่างซุนเสินหรงรับมาอ่านดู จดหมายเขียนถึงจ่างซุนซิ่น เป็นลายมือของจ้าวกั๋วกงบิดาของพวกเขาเอง
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากฉางอันไม่นานก็มีขุนนางคนสำคัญก่อการเคลื่อนไหว ราชเลขาธิการก็ทำความผิดพ้นจากตำแหน่งไปแล้วด้วยเช่นกัน เจ้าชีวิตองค์ใหม่ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อยนิด ลงโทษเนรเทศเขาเพียงคนเดียวถึงหนึ่งพันหลี่
จ้าวกั๋วกงเขียนจดหมายมาเป็นพิเศษก็เพื่อให้จ่างซุนซิ่นรู้ถึงเรื่องนี้ จ่างซุนซิ่นรู้กระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า บิดาต่อหน้าพูดเช่นนี้ก็เพียงต้องการจะเตือนเขาว่าเรื่องขุดหาแร่ต้องเร่งให้เร็วขึ้นอีก
ในทางกลับกันสำหรับน้องสาวซึ่งเป็นสุดที่รักของทั้งบ้านย่อมไม่อาจเร่งรัดกดดันนางได้แน่นอน จึงเขียนจดหมายระบุชื่อถึงเขา แต่เรื่องนี้เร่งร้อนไม่ได้ เตือนเขาเพียงคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่าต้องดูจ่างซุนเสินหรงว่าอย่างไรอีกหรือ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ยังคงไม่ราบรื่น
จ่างซุนเสินหรงอ่านจบแล้วก็คืนจดหมายให้เขา “ผลจากการเก็บรวบรวมลักษณ์เป็นอย่างไรกันแน่”
จ่างซุนซิ่นส่ายหน้า “ไม่ได้อะไรเลย”
หลังจากเก็บพื้นผิวก็ไม่ได้ออกจากที่พักเป็นเวลาหลายวัน เพราะพวกเขากำลังตรวจสอบ ‘พื้นผิวที่เก็บกลับมา’ เหล่านั้น พวกต้นหญ้าก้อนหินของภูเขาแม่น้ำหนองบึงก็เหมือนกับเป็นเครื่องหมายบางอย่างที่สามารถให้คนใช้เป็นแนวทางได้ แสดงให้เห็นว่าที่ซุกซ่อนอยู่ด้านล่างนั้นคือแร่อะไรกันแน่ แต่จ่างซุนเสินหรงไม่เคยคิดเลยว่าตอนนี้ผู้เป็นพี่ชายถึงกับพูดว่า ‘ไม่ได้อะไรเลย’ นั่นไม่ใช่พูดว่าไม่มีแร่หรือ
นางขมวดคิ้ว “เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ม้วนหนังสือที่ตกทอดจากบรรพชนไม่มีทางผิดพลาด นางมั่นใจว่าสถานที่นั้นควรมีอะไรถึงจะถูก
จ่างซุนซิ่นพูดว่า “ข้าก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นเช่นนี้ แต่พวกกิ่งไม้ใบหญ้าที่เอากลับมาไม่มีอะไรพิเศษเลยจริงๆ” เขาทอดถอนใจอีกครั้ง “ภายในภูเขานั่นน่ากลัวว่าแม้แต่ทองแดงสักนิดก็คงไม่มี”
จ่างซุนเสินหรงนั่งลงที่ด้านข้าง ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
จ่างซุนซิ่นพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ในท้ายจดหมายของท่านพ่อมีพูดถึงน้องรองสกุลเผยด้วย อีกฝ่ายถามถึงเจ้าเพราะเขายังไม่รู้ว่าเจ้ามาที่โยวโจว อยากจะตอบจดหมายเขาหรือไม่”
สกุลเผยก็เป็นตระกูลใหญ่ในฉางอัน เป็นตระกูลเดิมของมารดา ลูกหลานในตระกูลย่อมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพวกเขา น้องรองสกุลเผยที่จ่างซุนซิ่นพูดถึงจ่างซุนเสินหรงจะต้องเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่รอง’ มีชื่อเรียกว่า ‘เผยเซ่ายง’ กับสกุลจ่างซุนถือได้ว่ามาเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ
เรื่องที่จ่างซุนเสินหรงเดินทางไกลไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอกเลย นอกจากคนในบ้านแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่นางมายังโยวโจวซึ่งห่างไกลนับพันหลี่ พี่รองสกุลเผยท่านนี้สนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเขาดี และปกติจะห่วงใยทุกคนเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายถามถึงนางก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
จ่างซุนเสินหรงถูกเบี่ยงเบนเรื่องไปก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจอยู่แล้ว จึงส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า เวลานี้ยังต้องจัดการงานนี้ให้เรียบร้อย”
จ่างซุนซิ่นขยับเข้าไปชิดนาง “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะจัดการอย่างไร”
เขาร้อนใจปานนี้ จ่างซุนเสินหรงกลับยิ้มขึ้นมา “ไปอีกรอบก็ได้แล้ว ท้องฟ้ายังไม่ได้ถล่มลงมาสักหน่อย ข้าไม่เชื่อหรอกว่างานนี้พวกเราจะทำไม่สำเร็จ”
จ่างซุนซิ่นเห็นนางหน้าตาดูผ่อนคลายก็อดจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ไม่แปลกที่ทั้งบ้านล้วนรักใคร่ตามใจนาง เมื่อมีนางอยู่ทุกอย่างล้วนปลอดโปร่งแจ่มใสอยู่เสมอ นางไม่ใช่คนหดหู่หม่นหมองประเภทนั้นเด็ดขาด และตลอดมาก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยเช่นกัน
จ่างซุนเสินหรงลุกขึ้นไปเตรียมตัวทันทีพลางร้องเรียกจื่อรุ่ยที่ด้านนอกไปด้วย “อย่าลืมส่งข่าวไปที่จวนบัญชาการทหาร”