บทที่ 10
เซียวหลิ่นมีนิสัยไม่ชอบโอ้อวด ดังนั้นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเขา จึงมิอาจกล่าวได้ว่าสนุกครื้นเครงมากนัก
หลังจากนางรำขึ้นยกพื้นมาบรรเลงดนตรีและร่ายรำแล้ว ก็เหลือเพียงการทักทายปราศรัยระหว่างขุนนางใหญ่เท่านั้น
เวลานี้เอง มีบุรุษที่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังผู้หนึ่งเดินเข้ามา ชายผู้นี้สวมชุดขาวครอบเกี้ยวหยก เอวประดับหยกสีใสกระจ่างชิ้นหนึ่ง
“วันเกิดน้องหก ข้ามาช้า หวังว่าน้องหกจะไม่ถือโทษ” แม้เขาจะยิ้มอยู่ แต่ดวงตากลับมิใช่เช่นนั้น
เซียวหลิ่นนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ใบหน้าที่เดิมทีสุภาพอ่อนโยน เห็นเขาแล้วกลับเย็นชาขึ้นหลายส่วน
เซียวหลิ่นลุกขึ้น “พี่สี่”
ที่แท้เป็นจ้าวอ๋อง
หลีซูซูลอบพิจารณาจ้าวอ๋องผู้นี้ ฝีเท้าเขาล่องลอยเล็กน้อย ก้นบึ้งดวงตาสะท้อนสีเขียวเข้มจางๆ แววตาคมกริบ
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่ไม่น่าคบหา
ฐานะของจ้าวอ๋องเองก็ไม่ธรรมดา มารดาเขาเป็นกุ้ยเฟย* ที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด อำนาจฝั่งมารดาของกุ้ยเฟยแข็งแกร่ง การแย่งชิงบัลลังก์ในอนาคตนั้น เขาเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเซียวหลิ่น
จ้าวอ๋องเซียวเซิ่นนั่งลงตรงตำแหน่งประธานอีกที่ เขาหรี่ตาน้อยๆ สายตาหยุดที่ร่างของเยี่ยปิงฉาง “ชายารองฉาง ไม่พบกันหลายวัน ไฉนเจ้าจึงดูเปราะบางน่าสงสารกว่าเดิม ดวงหน้าเล็กซีดขาวเช่นนี้ ชวนให้คนเห็นแล้วยิ่งอยากทะนุถนอม หรือว่าน้องหกดูแลเจ้าไม่ดี”
ถ้อยวจีของเขาเจือแววหัวเราะ สายตากลับวนเวียนอยู่บริเวณลำคอและปกเสื้อของเยี่ยปิงฉางอย่างไม่ประสงค์ดี
เยี่ยปิงฉางเบนสายตาไปทางอื่นอย่างอึดอัด หว่างคิ้วฉายความไม่พอใจจางๆ ทว่านางยังมีมารยาทเต็มเปี่ยม ลุกขึ้นคารวะ “จ้าวอ๋องอย่าได้เอาข้ามาล้อเล่นเลย”
จ้าวอ๋องกระดกริมฝีปาก สายตาประหนึ่งเหยี่ยวยังคงจ้องมองเยี่ยปิงฉาง
เซียวหลิ่นใบหน้าบึ้งตึงแล้ว เขากระแทกจอกสุราอย่างแรง “พี่สี่ เรื่องภายในครอบครัวข้า ไม่รบกวนพี่สี่เป็นกังวล”
จ้าวอ๋องเดาะลิ้น เห็นเซียวหลิ่นที่เปรียบดังเทพเซียนโมโห กลับมิกล้าหยอกเย้าต่อ
น้องหกผู้นี้จิตใจกว้างขวาง ไม่ล่วงเกินเขายังนับว่าดี หากล่วงเกินเข้าแล้ว ย่อมไม่มีจุดจบที่ดีแน่ เขาเลื่อนสายตาออกไป นึกอะไรได้จึงหันมามองสกุลเยี่ยทางนี้ด้วยความสนใจ
“คุณหนูสามสกุลเยี่ยก็อยู่ด้วยหรือ” จ้าวอ๋องเห็นหลีซูซูแล้ว ความสนใจถูกจุดขึ้นในดวงตาหลายส่วน
ความทรงจำของเขาที่มีต่อคุณหนูสามผู้นี้หยุดอยู่แค่ในอดีต แม่นางน้อยผู้หนึ่งที่ร้ายกาจเอาแต่ใจ จิตใจชั่วร้ายดุจอสรพิษ ทว่าคุณหนูสามสกุลเยี่ยในวันนี้ หว่างคิ้วแต้มฮวาเตี้ยนร้อนแรงจุดหนึ่ง กลับดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
หากบอกว่าคุณหนูใหญ่สกุลเยี่ยเป็นปทุมมาที่บานสะพรั่งงดงาม คุณหนูสามผู้นี้ก็เป็นดอกเสาเย่า* แรกผลิบาน ดรุณีน้อยที่เพิ่งจะโตเป็นสาว ทั้งไม่ประสาและเย้ายวน
แม่นางทั้งสองของสกุลเยี่ย รูปโฉมไม่เลวจริงๆ
หลีซูซูที่ยามนี้นั่งกินแตงอยู่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสุดท้ายจ้าวอ๋องผู้นี้กลับเบนความสนใจมาที่ตน
สายตาเขาให้ความรู้สึกที่ชวนให้คนไม่สบายตัว
หลีซูซูสุขุมทีเดียว นางพูดกับจ้าวอ๋องว่า “ข้าน้อยขอคารวะจ้าวอ๋อง” จากนั้นนางหลบไปอยู่ข้างหลังถานไถจิ้นเหมือนจะแกล้งเขา
ไปเลย! มารร้ายนิสัยเสีย เจ้าไปรับหน้าจ้าวอ๋องเถอะ
ถานไถจิ้นมองเด็กสาวข้างหลังอย่างตกตะลึง
นางมองตอบเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ถานไถจิ้นแววตาวูบไหว มองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเผชิญกับสายตาของจ้าวอ๋องแทนนาง
จ้าวอ๋องยิ้มเจ้าเล่ห์ “จื้อจื่อ ไม่พบกันนาน ใช้ชีวิตในจวนแม่ทัพสบายกว่าในวังเย็นหรือไม่”
หลีซูซูรู้สึกว่าจ้าวอ๋องผู้นี้เหมือนปูที่เดินวางก้ามไปทั่ว มิเพียงบ้าตัณหาลามก ไอเหี้ยมเกรียมยังรุนแรง จับใครได้เป็นต้องเหน็บแนมสองสามคำ ตั้งแต่เขาปรากฏตัว บรรยากาศในงานเลี้ยงก็เปลี่ยนไปหมด
ถานไถจิ้นเอ่ยตอบ “ขอบคุณจ้าวอ๋องที่เป็นห่วง จวนแม่ทัพดีมาก”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดถึงเพื่อนเล่นวัยเยาว์อย่างจื้อจื่อมากเชียวล่ะ” จ้าวอ๋องเลิกอาภรณ์ แยกขาออกจากกันเล็กน้อย สีหน้าแฝงแววเยาะหยันดูแคลน
ถานไถจิ้นผงกศีรษะหน้าไม่เปลี่ยนสี คารวะสุราจ้าวอ๋องหนึ่งจอก
จ้าวอ๋องเลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจมาก
จื้อจื่อผู้เป็นเชลยศึกต้อยต่ำผู้นี้ เมื่อก่อนตอนมุดลอดหว่างขาเขาไป มือกำดินแน่นจนเส้นเลือดเขียวบนหลังมือปูดโปนขึ้นมา บัดนี้เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นนัยหยามหมิ่นจื้อจื่อ ท่าทีของถานไถจิ้นกลับนิ่งสงบมาก น่าสนใจยิ่ง
หลีซูซูฟังคำพูดนี้แล้วหัวใจหดเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ นางคิดถึงคำพูดของหมัวมัวในวังคราวก่อน ดูเหมือนเหล่าองค์ชายจะกลั่นแกล้งถานไถจิ้นบ่อยครั้งเพื่อความสำราญ
จ้าวอ๋องทำอะไรกับถานไถจิ้นกันแน่