จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 10
นางอดหันไปมองถานไถจิ้นมิได้ พยายามมองให้เห็นเบาะแสบางอย่าง แต่กลับเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างที่ผอมซูบของเด็กหนุ่ม ขนตายาวของเขาบดบังดวงตาสีดำ ท่าทีออกจะราบเรียบเกินไป
ครั้นเห็นงานเลี้ยงที่สนุกสนานปรองดอง บรรยากาศกลับเปลี่ยนเป็นชะงักงันเพราะจ้าวอ๋อง ขุนนางใหญ่ร่างอ้วนท้วนผู้หนึ่งก็ยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้ผู้น้อยเพิ่งเดินทางกลับจากชายแดนต้าซย่า ได้ของที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งมา ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทั้งสองและใต้เท้าทุกท่านอยากจะชื่นชมร่วมกันหรือไม่”
ร่างกายจ้าวอ๋องโน้มไปข้างหน้า “อ้อ? ใต้เท้าหลี่อย่าได้เอาของธรรมดาสามัญมาหลอกข้าเป็นอันขาด เอาออกมาดูเถอะ”
ใต้เท้าหลี่ยิ้มตอบ “ผู้น้อยมิกล้า”
จากนั้นเขาปรบมือ บ่าวรับใช้ก็แบกวัตถุชิ้นใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมเข้ามา มันถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีดำ มองไม่เห็นว่าข้างในเป็นสิ่งใด
ใต้เท้าหลี่เดินเข้าไป เลิกผ้าสีดำออก
ภายในกรง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิงโตที่น่าเกรงขามตัวหนึ่งหมอบอยู่ ทุกคนต่างมองหน้ากัน
ผังอี๋จือพูดขึ้น “ใต้เท้าหลี่ สิงโตแม้พบเห็นไม่บ่อย แต่ก็มิใช่ของหายากอะไร ใต้เท้าหลี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”
ใต้เท้าหลี่ยิ้มจนมองไม่เห็นรอยแยกของดวงตา
“ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ละครฉากเด็ดอยู่ข้างหลัง” เขาหยิบกล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากใต้อาภรณ์ เปิดฝากล่องและโยนกล่องหยกเข้าไปในกรงขัง
หลีซูซูบังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี นางจ้องกล่องใบนั้นเขม็ง
ผึ้งขนาดเท่าเล็บมือตัวหนึ่งบินออกมาจากในกล่อง
“นี่คือผึ้งอัคคีแดง อย่าเห็นว่ามันตัวเล็ก เพียงแค่ตัวเดียว สิงโตก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมันแล้ว”
เพิ่งจะขาดคำ สิงโตลุกขึ้นยืนอย่างระแวดระวัง ผึ้งที่มีสีแดงเพลิงตลอดทั้งตัว ถึงขั้นทะลวงเข้าไปในหูของสิงโต
สิงโตเริ่มกระแทกกรงอย่างคลุ้มคลั่ง
ใต้เท้าหลี่คลี่ยิ้มน้อยๆ อึดใจต่อมาสิงโตก็เกร็งกระตุกล้มลงบนพื้น หัวของมันระเบิดออก มันสมองและโลหิตสาดกระจายเต็มพื้น ส่วนผึ้งอัคคีแดงที่ก่อนหน้านี้ตัวขนาดเท่าเล็บมือ บัดนี้เปลี่ยนเป็นมีขนาดเท่ากำปั้นของบุรุษหนุ่ม
ทุกคนต่างเบิกตาโต สีหน้าของบรรดาแขกสตรีย่ำแย่ ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดตา กระเพาะรู้สึกปั่นป่วน
หลีซูซูวางตะเกียบลงทันใด นี่ใช่ของแปลกประหลาดหายากอะไรที่ใด ผึ้งอัคคีแดงนี้เห็นชัดว่าเป็นปีศาจ
ปีศาจปรากฏบนโลกมนุษย์ได้อย่างไร
ดังคาด อึดใจต่อมาใต้เท้าหลี่ที่เดิมทีท่าทางซื่อตรงเป็นมิตร ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว “ทุกท่านชมความครึกครื้นพอแล้ว บัดนี้ไปลงยมโลกอย่างสบายใจเถอะ!”
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกะทันหัน ใต้กรงเหล็กที่ขังสิงโต ผึ้งอัคคีแดงหลายสิบตัวพุ่งออกมาทันใด
ผึ้งอัคคีแดงบินมายังกลุ่มคน เสียงหวีดร้องดังไม่ขาด
แม่ทัพใหญ่เยี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างห้ามไม่อยู่ เขาชักกระบี่พกออกมา เริ่มขับไล่ผึ้งอัคคีแดงที่บินมาทางนี้
ทุกคนล้วนเห็นอานุภาพของเจ้าสิ่งนี้แล้ว ขืนปล่อยให้มันมุดเข้ามาในร่างกาย ไหนเลยยังจะมีทางรอด
เซียวหลิ่นตอบสนองไวกว่า กระบี่ฟันไปที่ลำตัวของผึ้งอัคคีแดงและหันกลับไปสั่ง “คุ้มกันพระชายารองจากไป!”
บ่าวรับใช้รีบคุ้มครองเยี่ยปิงฉางและจะพาจากไป
เยี่ยปิงฉางกุมมือเซียวหลิ่น เอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านอ๋อง”
เซียวหลิ่นสั่ง “ไป!” เขากระชากเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนเองออก ห่อตัวเยี่ยปิงฉางไว้และผลักตัวนางไปยังสาวใช้
เหล่าองครักษ์รีบคุ้มกันเยี่ยปิงฉางจากไป
หลีซูซูเองก็รู้ว่าเกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว เดิมทีคิดว่าโลกมนุษย์สงบสุข สุดท้ายมาร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดครั้งหนึ่ง กลับเห็นสิ่งที่ไม่สมควรปรากฏในแดนมนุษย์เข้า
แม่ทัพใหญ่เยี่ยแม้วิชายุทธ์จะไม่เลว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนธรรมดา ไหนเลยจะเคยพบเจอผึ้งอัคคีแดงที่แปลกประหลาดและโหดเหี้ยมเช่นนี้
ผึ้งอัคคีแดงปราดเปรียวยิ่ง เยี่ยเซี่ยวไล่ตามอย่างกินแรง
ในงานเลี้ยงมีเสียงร้องโหยหวนดังไม่หยุด หลังจากผึ้งอัคคีแดงได้ทะลวงผ่านร่างกายคน ลำตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที
ครั้นเห็นผึ้งอัคคีแดงตัวหนึ่งกำลังจะมุดเข้าไปในศีรษะของแม่ทัพใหญ่เยี่ย กระบี่วาววับเล่มหนึ่งฟันผึ้งอัคคีแดงจนขาดเป็นสองท่อน
เยี่ยเซี่ยวหันกลับไป เห็นนัยน์ตาเฉียบคมงดงามคู่หนึ่ง “ซีอู้?!”
หลีซูซูไม่มีเวลาสนใจว่าท่านพ่อแม่ทัพจะคิดอย่างไร นางบิดข้อมือ ตวัดกระบี่เป็นลวดลาย ขวางอยู่เบื้องหน้า
“ท่านพ่อ พวกเราต้องรีบไป”
หากรอให้ผึ้งอัคคีแดงตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะยิ่งรับมือไม่ง่าย
เยี่ยเซี่ยวหัวใจจมดิ่ง แต่กลับสามารถแยกแยะหนักเบาได้อย่างรวดเร็ว จึงถอยไปนอกประตู
เจ้าสิ่งนี้ หาใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถรับมือได้จริงๆ
ผึ้งอัคคีแดงเกือบสิบตัวบินสะเปะสะปะไปมา ไม่ง่ายเลยกว่าหลีซูซูจะแทงมันตายได้ตัวหนึ่ง
พอหันกลับไปเห็นแม่ทัพใหญ่เยี่ยถอยไปถึงข้างประตูใหญ่แล้ว นางยังไม่ทันได้โล่งอก หันมาอีกทีกลับพบว่าถานไถจิ้นหายไป
หลีซูซูตกใจ ในใจบังเกิดความลนลาน หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา นางก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่แล้ว สามพิภพก็ใกล้จบสิ้นเต็มที
หันหน้าไปเพียงอึดใจเดียว ผึ้งอัคคีแดงตัวหนึ่งบินตรงเข้ามาหานาง
ยามนี้เองข้อมือก็ถูกคนคว้าจับกะทันหัน
หลีซูซูร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่!”
เซียวหลิ่นขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยซีอู้ตรงหน้าถึงเรียกตนเช่นนี้
“มัวยืนเหม่ออยู่ไย รีบไปเร็ว!” แม้เขาจะไม่ชอบคุณหนูสาม แต่เห็นคนตายใช่ว่าจะไม่ช่วยเหลือ
ประกายกระบี่ของเซียวหลิ่นแตกต่างจากท่าทีสุภาพถ่อมตนของเขาโดยสิ้นเชิง กระบี่เขาเจือรัศมีเย็นเยียบจางๆ ตัดแสงผ่าเงา เฉียบขาดฉับไว
ผึ้งอัคคีแดงเห็นเขาไม่น่าล่วงเกินก็ถึงขั้นไม่กล้าเข้าใกล้เขา ต่างพากันบินหนีไป