หลีซูซูตกใจกับเจตจำนงกระบี่อันยิ่งใหญ่ชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน นางพอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งที่เคล็ดกระบี่ของสำนักเหิงหยางก็ไม่ด้อย แต่บิดากลับยืนกรานอยากให้นางมาเรียนรู้วิชาที่เผิงไหล
ไม่นานกระบี่ของชังจิ่วหมินก็ชี้ไปที่หน้าอกของเจ๋อตวน เจ๋อตวนรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง ก่อนจำต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหดหู่
ชังจิ่วหมินเก็บกระบี่ มิได้มองหลีซูซูและลูกศิษย์คนอื่นๆ มุ่งหน้ากลับตำหนักเซียนของตน
หลีซูซูกลอกตารอบหนึ่ง พลันบังเกิดความคิด
เอาชนะชังจิ่วหมินได้ ก็จะได้เรียนรู้เคล็ดกระบี่ชิงหงทั้งหมดใช่หรือไม่
ชังจิ่วหมินเดินไปได้ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงลมเบาๆ ดังข้างหู ใบไม้ร่วงใต้ฝ่าเท้าถูกพัดออกไปหลายก้าว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มิได้หันกลับไป
เงาคนสายหนึ่งถือกระบี่แทงเข้ามากลางอากาศ
กระบี่เซียนของเขามิได้ออกจากฝัก เขาใช้ฝักกระบี่รับกระบี่ของผู้มา
หญิงสาวในชุดสีแดงถูกแรงปะทะจนถอยหลังไปหลายก้าว ปลายเท้าแตะสะกิดต้นซิ่ง ถือกระบี่ฟาดฟันใส่เขาอีกครั้ง
ตอนนั้นนางศึกษาอาคมมามากมาย แต่กลับมิได้ฝึกกระบี่ เพลงกระบี่ที่อาศัยเรียนรู้จากการดูผู้อื่นมาไร้ระเบียบแบบแผน มีแต่ความห้าวหาญขณะพุ่งออกไปอย่างสะเปะสะปะ
“หลีซูซู” ชังจิ่วหมินมุมปากกระตุก “เจ้าทำอะไรของเจ้า”
หญิงสาวดวงตาเปล่งประกาย “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าผู้ใดเอาชนะท่านได้ ท่านเซียนหรงขุยจะถ่ายทอดเคล็ดกระบี่ชิงหงให้คนผู้นั้นทั้งหมด ระวัง!”
เขาแค่นเสียงหยัน “หน้าอย่างเจ้าน่ะหรือ เช่นนั้นก็ลองดูสิ”
คำพูดนี้เป็นความจริง เขาอายุมากกว่าหลีซูซูมาก ในฐานะบุตรชายของประมุขตงอี้ที่มีพลังตบะแข็งแกร่งและลูกศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของหรงขุย พลังตบะของชังจิ่วหมินลึกล้ำยากคาดเดา
แต่คำพูดนี้กลับกระตุ้นความอยากเอาชนะของหลีซูซู นางมีนิสัยไม่ยอมอ่อนให้ใคร
เดิมทีตั้งใจจะประมือกับเขาเท่านั้น แม้เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ อย่างมากวันหลังก็ค่อยลองใหม่ ทว่าพอชังจิ่วหมินเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งหวงน้อยก็โมโหจนขนชี้
เขาดูถูกใครกัน!
นางตัดสินใจไม่ใช้กระบี่ แต่ใช้อาคมต่อสู้กับเขา
หลีซูซูมีแก่นวิญญาณฟ้าอยู่แล้ว อัคคีแท้สว่างโรจน์ในมือนาง ชั่วเวลานั้นเกาะเผิงไหลทั้งเกาะอุณหภูมิสูงขึ้นไม่น้อย อัคคีแท้ลุกลามไปจนถึงปลายเท้าของชังจิ่วหมิน
เขายกมือขึ้น สายลมพัดตามนิ้วมือเขา อัคคีแท้มอดดับทั้งหมด
หลีซูซูคิดในใจ หมดกัน วิธีนี้ก็ใช้ไม่ได้ผลหรือ
ฉับพลันนางเกิดไหวพริบจึงเอ่ยว่า “รับกระบวนท่า!”
หลีซูซูปาไข่มุกเม็ดหนึ่งออกไป
เขามีบทเรียนจากผงคันยุบยิบครั้งก่อนแล้ว จึงไม่ทำลายมันจนแตกละเอียดอีก แต่เบี่ยงตัวหลบ
หลีซูซูค้นหาในถุงฟ้าดินและปาของออกไปอย่างต่อเนื่อง…
ร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน ถังหูลู่ ศิลาวิญญาณ
ชังจิ่วหมินหน้าถมึงทึง
จวบจนนางปายาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมา ยาลูกกลอนระเบิดออก หมอกขาวฟุ้งตลบไปทั่ว กลายเป็นกระต่ายฟันเหล็กนับไม่ถ้วนที่ดูน่ารักทว่าดุร้าย กระโจนเข้ามากัดเขา
ไม่รู้ว่าของเหล่านี้เป็นอาวุธเอาตัวรอดประเภทใดของหลีซูซู ชังจิ่วหมินอยู่ท่ามกลางหมอกฟุ้ง ชั่วขณะหนึ่งที่มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
เขารู้ว่าหลีซูซูเจ้าเล่ห์แสนกล จึงไม่กล้าบีบของจำแลงเหล่านี้ให้แหลกสลายจริงๆ ได้แต่ยืนอยู่กับที่อย่างเย็นชา เขามีร่างเซียน เศษสวะเหล่านี้กัดเขาไม่กี่ที ความรู้สึกไม่ต่างจากการถูกจั๊กจี้
เพิ่งจะคิดเช่นนี้ก็มีคนแหวกฝ่าหมอก ยกมือขึ้นจู่โจมมาที่เขา แม้จะมองอะไรไม่เห็นชั่วขณะ แต่ประสาทหูของชังจิ่วหมินกลับไวมาก เขาอยากจะยุติการต่อสู้อันเหลวไหลครั้งนี้ จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ รอจนนางมาถึงตรงหน้าค่อยลงมือ
ชังจิ่วหมินสกัดข้อมือหลีซูซูไว้ นางจงใจก้าวพลาด ร่างกายโงนเงน ราวกับจะล้มลงบนพื้นในอึดใจต่อไป
มือขาวซีดเย็นเฉียบข้างหนึ่งคว้าตัวนางไว้กะทันหัน
นางอึ้งงันไป
อันที่จริงนี่เป็นเพียง…กระบวนท่าที่ทำให้คนประมาทศัตรูเท่านั้น แต่ในเมื่อชังจิ่วหมินหลงกลแล้ว มิสู้ดำเนินการไปตามแผน หลีซูซูกระโจนเข้าหาเขา จังหวะที่ออกแรงกดเขาลงบนพื้น ยันต์ตรึงร่างสีฟ้าในมือแปะลงบนหน้าผากเขา
“ท่านแพ้แล้ว!” นางกดไหล่เขาไว้ หยิบกระบี่ของเขาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ฝักกระบี่ชี้ไปที่ลำคอเขา “ศิษย์พี่จิ่วหมิน ท่านยอมแพ้หรือไม่!”
หมอกฟุ้งสลายไป กระต่ายฟันเหล็กรอบด้านกลายเป็นเงามายา
ทิวทัศน์แห้งแล้งตลอดหมื่นปีไม่เคยเปลี่ยนของเผิงไหลปรากฏเบื้องหน้าเขา หญิงสาวนั่งคร่อมอยู่บนเอว เร่งให้เขายอมแพ้ด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มใจ
ร่างกายเขาแข็งทื่อ “ลงไป”
หลีซูซูยิ้มร่า “ยอมแพ้เร็วเข้า! ท่านถูกยันต์ตรึงร่าง ถึงอย่างไรก็ขยับตัวไม่ได้ ถ้าวันนี้ไม่ยอมแพ้ เรื่องนี้ก็ไม่จบ”
ไม่รู้เป็นเพราะวิธี ‘ต่ำช้า’ ของนางทำให้เขาโมโหหรือไม่ หางตาของเขาเป็นสีแดงเรื่อ นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
นางอดร้อนใจมิได้ ผลักเขาหนึ่งทีพลางเอ่ยว่า “นี่ ท่านเซียนหรงขุยไม่ได้บอกสักหน่อยว่าต้องเอาชนะท่านด้วยวิธีใด ตอนอยู่ที่สระล้างกระบี่ท่านเป็นคนบอกเองว่าการศึกไม่หน่ายกลอุบาย”
คนเบื้องล่างที่ ‘ขยับไม่ได้’ ทำได้เพียงงอนิ้วมือเข้าด้วยกัน
ตอบด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “อืม”