บทที่ 107
หน้าประตูบรรพต อาภรณ์สีครามของชายหนุ่มย้อมด้วยโลหิต สะพายกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง
ลูกศิษย์ที่ลงมาจากบรรพตเซียนเหิงหยางกระซิบกระซาบกัน “เขายังอยู่ตรงนี้อีก ไม่รู้หรือไรว่าทุกคนชิงชังเขามาก ศิษย์พี่ผู้คุมกฎมัวทำอะไรอยู่ ยังไม่โยนเขาออกจากประตูบรรพตไปอีก”
อีกคนหนึ่งพูด “ไล่เขาไป ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวตรงนี้อีกอยู่ดี”
“เขายังเพ้อฝันอยากพบอวี้หลิงเซียนจื่ออยู่อีกหรือ เขาไม่รู้หรือไรว่าอีกไม่กี่วันอวี้หลิงจะแต่งงานกับศิษย์พี่ฝูหยาแล้ว”
เพิ่งจะขาดคำ ชังจิ่วหมินที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่โต้ตอบ ไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้นก็ปราดมาข้างกายศิษย์ผู้นั้นและขยุ้มเสื้อด้านหน้าของเขา “เจ้าว่าอะไรนะ!”
ศิษย์ชายผู้นั้นถูกเขาประชิดตัวพลันหวาดกลัวไปชั่วขณะ แต่พอคิดว่าหลีซูซูกลับจากแดนเผิงไหลในสภาพบาดเจ็บเช่นนั้น ก็ยากที่จะปั้นหน้าพูดดีกับเขาได้
“ข้าบอกว่าอวี้หลิงกับเยวี่ยฝูหยากำลังจะแต่งงานกัน หากเจ้ายังรู้ตัวอยู่บ้าง ก็ไสหัวกลับแดนเผิงไหลของเจ้าไปเสีย อย่ามาทำให้ที่นี่แปดเปื้อน”
นิ้วมือของชังจิ่วหมินกำแน่น มองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น
ขณะที่ศิษย์เหิงหยางคิดว่ากำลังจะเผชิญศึกหนัก นึกว่าเขาต้องลงมือแน่ เขาพลันคลายมือ หันกายจากไปโดยไม่พูดอะไร
ตอนบ่ายเหยากวงมา เห็นเขาไม่อยู่ที่หน้าประตูแล้ว จึงถามศิษย์ข้างกาย “เขาไปที่ใดแล้ว”
ศิษย์ผู้นั้นตอบว่า “เมื่อเช้าตอนรู้ข่าวว่าหลีซูซูกำลังจะแต่งงาน เขาก็จากไป คงถอดใจแล้วกระมัง”
เหยากวงทอดถอนใจ มองไปยังทิศทางที่เขาจากไป “ไปเสียก็ดีเหมือนกัน”
รอให้อาการบาดเจ็บของหลีซูซูดีขึ้น เจ้าสำนักต้องไปเอาความกับแดนตงซู่แน่ ดีไม่ดีเหิงหยางกับตงซู่อาจเปิดศึกกัน ชังจิ่วหมินเป็นบุตรชายของประมุขตงอี้ เรื่องระหว่างเขากับหลีซูซูเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ระหว่างทางกลับนางได้พบเยวี่ยฝูหยา
เหยากวงมองชุดวิวาห์ในมือเขา “ให้หลีซูซูหรือ”
เยวี่ยฝูหยา “อืม”
เขาหลุบตา สีหน้าที่ดูแปลกประหลาดมาโดยตลอด ยามมองชุดวิวาห์ฉายแววอ่อนโยนมากขึ้นหลายส่วน
เหยากวงพูด “ข้าคิดว่าเจ้าไม่เต็มใจเสียอีก”
เยวี่ยฝูหยาโคนหูแดงเรื่อ ตอบสั้นกระชับว่า “ข้าเปล่า”
เหยากวงคลี่ยิ้ม “วันหน้าดูแลหลีซูซูให้ดีล่ะ”
บัดนี้นอกจากหลีซูซู ทุกคนในเหิงหยางต่างรู้ว่าเยวี่ยฝูหยากำลังจะแต่งงานเป็นคู่บำเพ็ญของนาง เรื่องนี้ฉวีเสวียนจื่อก็ยอมรับอย่างเงียบๆ แล้ว ความปลอดภัยของหลีซูซูเป็นเรื่องที่ฉวีเสวียนจื่อให้ความสำคัญมากที่สุด
เพียงแต่สำหรับเยวี่ยฝูหยา ด้วยสภาพร่างกายของหลีซูซูเขาต้องเป็นฝ่ายเสียสละ มอบพลังตบะจำนวนมากให้นางฟื้นฟูร่างกาย บอกว่าเป็นการบำเพ็ญคู่ แท้จริงแล้วเป็นการซ่อมแซมวิญญาณชีวิตให้นางต่างหาก การมอบพลังตบะให้นางเช่นนี้อาจทำให้ตัวเขาเองพัฒนาต่อไปได้ยาก
เดิมทีเหยากวงกลัวว่าเยวี่ยฝูหยาจะตะขิดตะขวงใจเรื่องนี้ ไม่คิดว่าเขากลับมองเรื่องนี้อย่างหวานล้ำปานน้ำผึ้ง ในเมื่อเจ้าตัวเองยังไม่รู้สึกเป็นทุกข์หรือลำบากใจ เหยากวงจึงหัวเราะ
ศิษย์น้องหญิงก็น่าจะมีความสุขมากกระมัง
มารฝันประคองลูกแก้วหลิวหลี หัวใจสิ้นหวังดั่งเถ้าธุลี อุตส่าห์ทุ่มเทเต็มที่สร้างความฝันอันงดงามขึ้นมา ขจัดศัตรูตัวฉกาจอย่างกงเหยี่ยจี้อู๋ออกไป กลับลืมไปว่ายังมีเยวี่ยฝูหยาอยู่อีกคน
ว่าก็ว่าเถอะ ราชันมารหายไปไหนแล้วเล่า
ก่อนวันวิวาห์หนึ่งวัน หลีซูซูถึงได้รู้เรื่องนี้
เหยากวงกลัวนางจะร้องไห้อาละวาด ใครจะคิดว่าหญิงสาวกลับนั่งอยู่ข้างหน้าต่างเนิ่นนาน มองวิหคศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวข้างนอก
นานครู่ใหญ่จึงถามว่า “ฝูหยาเต็มใจหรือ”
เหยากวงรีบพยักหน้า “แล้ว…เจ้าล่ะ”
หลีซูซูริมฝีปากขาวซีด นางระบายยิ้ม “เขาทำเพื่อช่วยข้า ข้าจะไม่เต็มใจได้อย่างไร เพียงแต่ลำบากเขาแล้ว”
เหยากวงกดเสียงเบา “ข้าคิดว่าเจ้ายังคิดถึงชังจิ่วหมินอยู่เสียอีก” พอคำพูดหลุดจากปาก เหยากวงก็รู้ว่าตนพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไป จึงรีบเอ่ยว่า “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น…”
หลีซูซูหลุบตาลงพลางส่ายหน้า
เหยากวงอดถามไม่ได้ “เจ้าชอบเยวี่ยฝูหยาหรือไม่”
การแต่งเป็นคู่บำเพ็ญไม่เหมือนการแต่งงานในโลกมนุษย์ ในวันวิวาห์จะต้องผสานเลือดหัวใจหยดหนึ่งของตนเองลงในวิญญาณเซียนของอีกฝ่าย นับแต่นี้ไปอีกพันปีหมื่นปี หากเฉิดฉายก็เฉิดฉายไปด้วยกัน หากดับสูญก็ดับสูญไปด้วยกัน ใช้ได้ผลยิ่งกว่าสัญญาทุกข้อในโลกมนุษย์
หลีซูซูตอบ “ข้าไม่รู้”
นางกุมหัวใจ ตรงนี้…ว่างเปล่าไปหมด เหมือนประตูบานหนึ่งที่ถูกปิด ไม่อาจรับรู้อารมณ์ใดๆ กระทั่งตอนที่เหยากวงพูดคำว่า ‘ชอบ’ สำหรับนางแล้ว นั่นยังเป็นเพียงคำคำหนึ่งที่ไม่มีความหมายใดๆ
อะไรคือความชอบ ความรู้สึกเช่นไรที่เรียกว่าชอบ แน่นอนว่านางชอบเยวี่ยฝูหยา แต่นั่นใช่ความรู้สึกที่เหยากวงหมายถึงจริงๆ หรือไม่
หลีซูซูคิดถึงใครอีกคน เหตุใดตอนอยู่ในแดนเผิงไหลภายใต้ธงสามวิญญาณ ตอนเห็นชังจิ่วหมินทำร้ายนาง นางจึงรู้สึกเสียใจ