ชังจิ่วหมินเอ่ยเสียงเย็น “ไสหัวออกไป”
เซียนรับใช้กระดากใจยิ่งนัก รีบร้อนจะเดินออกไป
หลีซูซูถาม “มีเรื่องอะไร”
ในสำนักเหิงหยางฐานะของหลีซูซูถึงอย่างไรก็สูงกว่าเยวี่ยฝูหยา เซียนรับใช้จึงรีบพูด “ตอนกลางวันข้าหยิบผิด เดิมทีจะเอาหญ้าปี้เสียที่ใช้ป้องกันสิ่งชั่วร้ายมาให้ สุดท้ายกลับหยิบเอาหญ้าเซียงหลันมา ทว่าเซียนจวินแพ้หญ้าเซียงหลัน…”
พูดจบนางก็ก้มหน้าลง อุ้มหญ้าเซียงหลันสองกระถางวิ่งออกไป ไม่กล้ามองหลีซูซูกับชังจิ่วหมินอีก
ฟังนางพูดจบ หลีซูซูหันกลับมาไถ่ถามอย่างเป็นห่วง “นั่นสิ ข้าเกือบลืมไป เจ้าแพ้หญ้าเซียงหลันมาโดยตลอด เวลาเข้าใกล้ร่างกายจะเกิดผื่นแดงและตัวร้อน เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่”
คนบนตัวนางชะงักไปครู่หนึ่ง นางยกมือขึ้น แตะลงบนหน้าผากเขา เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เหตุใดจึงไม่…”
เขาคว้ามือนางไว้ทันใด คลี่ยิ้มอย่างสุขุม “รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่เมื่อครู่ไม่ทันได้สังเกต” เขาทำตัวแนบเนียน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงวางมือของหลีซูซูลงบนหน้าผากตนเอง
หลีซูซูแตะดู หน้าผากที่เมื่อครู่อุณหภูมิยังปกติ บัดนี้กลับร้อนผ่าว นางแก้ปมที่ชายแขนเสื้อเขา เลิกแขนเสื้อขึ้นมา ดังคาด บนแขนกำยำของชายหนุ่มมีผื่นแดงปรากฏประปราย
นางเกือบจะหัวเราะออกมา ทว่าสีหน้ากลับฉายแววร้อนรน “ฝูหยา รอประเดี๋ยวนะ ข้าจะไปหยิบยามาให้”
นางผลักเขาออก หยิบขวดสีน้ำเงินใบหนึ่งออกมาจากกล่องใส่เครื่องประดับ มุมปากยกโค้ง กลับมาข้างกายเขา พูดอย่างกระตือรือร้น “กินสิ่งนี้ลงไปก็ไม่ทรมานแล้ว”
ชังจิ่วหมินจ้องขวดยาในมือนาง แววตาไหววูบพลางยิ้มตอบ “ได้”
หลีซูซูเทยาลูกกลอนออกมาสองเม็ด พูดไปเรื่อยเปื่อยด้วยท่าทีจริงจัง “ยาลูกกลอนชนิดนี้ใช้การหัวเราะยับยั้งความคัน ฝูหยา เจ้ากินเข้าไปแล้วอาจจะหัวเราะไม่หยุด แต่ไม่เป็นไร หัวเราะสักหน่อยก็หายดีแล้ว”
สีหน้าเขาชะงักเล็กน้อย หลีซูซูบีบหน้าเขา
เนื่องจากมั่นใจว่าด้วยฐานะของ ‘เยวี่ยฝูหยา’ เขาไม่กล้าขัดขืนแน่นอน นางจึงป้อนยาให้เขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง มองดูชังจิ่วหมินที่สีหน้าไร้อารมณ์ นางเอ่ยด้วยความฉงน “ไฉนเจ้าจึงไม่หัวเราะเล่า ยานี้มีประสิทธิภาพมากเลยนะ”
เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากเขาเต้นตุบๆ ตอบว่า “ข้ากลั้นไว้”
นางยังจะพูดอะไรต่อ เขากลับกดนางลงไปอย่างหมดความอดทน ขายาวทับนางไว้ “คนดี นอนเถอะ”
เมื่อรู้สึกได้ว่าชังจิ่วหมินถูกตนปั่นหัวจนจะทนไม่ไหวเต็มที นางจึงเอนกายลงอย่างว่าง่าย ตัดสินใจว่าวันนี้ปล่อยเขาไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
คนผู้หนึ่งไม่มีทางที่จะแสดงเป็นคนอีกคนได้ตลอดไป หากจะเป็นคนอีกคน ย่อมต้องอดทนกับความอึดอัดใจและความยากลำบากมากมาย
หลีซูซูผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปเนิ่นนานหลีซูซูได้สติอีกครั้ง เหิงหยางเข้าสู่ราตรีแล้ว ไข่มุกในตำหนักเซียนทอแสงงดงาม นางรู้สึกสบายตัวเหลือเกิน เหมือนแช่อยู่ในน้ำอุ่นกระนั้น
พอลืมตาขึ้นมา ถึงได้พบว่าชังจิ่วหมินกำลังถ่ายพลังให้นางอยู่
นิ้วมือขาวซีดของเขากดตรงหว่างคิ้วนาง รัศมีสีฟ้าไหลเวียนอยู่ระหว่างพวกเขา หลีซูซูหลับสนิททุกคืน วันนี้ถึงรู้ว่าที่แท้เป็นเพราะอย่างนี้เอง
มิน่าเล่า แม้สองคนยังไม่ได้บำเพ็ญคู่ แต่นางกลับไม่รู้สึกทรมานเพราะวิญญาณชีวิตขาดหายไป ที่แท้เป็นเพราะชังจิ่วหมินถ่ายพลังให้นางทุกวันนี่เอง
ทว่าภายใต้วิญญาณชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ พลังตบะเหล่านี้มีแต่จะรั่วไหลออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาตระหนักว่านางตื่นขึ้นมา จึงลูบผมนางเบาๆ “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงที่ใดหรือ”
ความรู้สึกในใจนางผสมปนเป พลันรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
จุดหลิงไถที่กระจ่างใสคล้ายถูกบางสิ่งพันธนาการ เป็นอีกครั้งที่นางสัมผัสถึงรสชาติเช่นนั้น ปวดร้าวฝาดเฝื่อน ทำให้คนขอบตาแดงอยากจะร้องไห้
หลีซูซูโอบคอเขา เขาหลุบตามองนาง ในดวงตาเดิมทีมีแต่ความเย็นชาไร้อารมณ์ที่ติดตัวชังจิ่วหมินมาแต่กำเนิด แต่บัดนี้กลับถูกเขาเปลี่ยนให้กลายเป็นความอ่อนโยนว่าง่ายของเยวี่ยฝูหยา
นางไม่เอ่ยอะไร จู่ๆ ก็หยัดกายขึ้น จุมพิตใบหน้าเขา
ชังจิ่วหมินชะงักงัน มองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงได้สติ กดนางไว้ในอ้อมอก ฝืนข่มอารมณ์เสียดสีและขมขื่นไว้ “นอนเถิด หลีซูซู”
มือของนางจับเสื้อเขาเบาๆ มุมปากยกขึ้น นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
มิใช่อยากหอมแก้มเยวี่ยฝูหยา แต่เป็นเจ้า ชังจิ่วหมิน