การได้เห็นชังจิ่วหมินเล่นละครเป็นเยวี่ยฝูหยาทุกวันช่างทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน จนหลีซูซูเกือบลืมไปว่ายังมีเรื่องของประมุขตงอี้ที่ยังมิได้จัดการ
หลังการหารือของฉวีเสวียนจื่อกับผู้อาวุโสหลายท่าน เหิงหยางกับตงซู่แตกหักกันโดยสมบูรณ์ เคล็ดวิชา เพลงกระบี่ อาคมเซียน ต่อจากนี้ไปจะไม่ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์คนใดของตงซู่อีก หากศิษย์ตงซู่ปรากฏตัวในเขตแดนของเหิงหยาง จุดจบคือดวงจิตแตกซ่านวิญญาณสูญสลาย
หลายหมื่นปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความร้าวฉานระหว่างสำนักเซียน
ผลกระทบของเรื่องนี้มิอาจดูแคลน อย่างน้อยสำนักเซียนที่ใกล้ชิดกับเหิงหยางก็แสดงจุดยืนของตน ไม่ไปมาหาสู่กับตงซู่อีก
สูญเสียเคล็ดวิชา มิอาจเข้าร่วมการประลองใหญ่ทุกๆ ร้อยปีอีก ถึงขั้นที่ว่าหากบรรพตเซียนในเหิงหยางปรากฏแดนลับ ก็ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ของตงซู่เข้ามา สำหรับตงซู่แล้ว นี่เป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง
หลีซูซูมองท่าทีของชังจิ่วหมิน เขาหลุบตาลง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มิได้ใส่ใจมากนัก ราวกับเรื่องของตงซู่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา
อันที่จริงหลีซูซูไม่หวังว่าประมุขตงอี้จะก้มศีรษะขอขมาตน ถึงอย่างไรในฐานะผู้อาวุโสที่อยู่มาหลายพันปี ท่านเซียนเช่นนี้ย่อมนิยมการต่อสู้และมีทิฐิมากอยู่แล้ว ประมุขตงอี้ยินดีเป็นปรปักษ์กับเหิงหยางก็ไม่มีทางก้มศีรษะให้เด็กน้อยผู้หนึ่ง
ทว่าเมื่อนางหมดสติไปเพราะวิญญาณชีวิตพร่อง ตื่นมาอีกครั้งกลับอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนผมขาวอาภรณ์สีครามกำลังเดินหมากอยู่ตรงข้าม
นางตระหนก มองเขาอย่างระแวดระวัง “ประมุขตงอี้? ท่านคิดจะทำอะไร” นางรู้ว่าก่อนหน้านี้คนผู้นี้คิดจะเอาชีวิตนาง
ประมุขตงอี้พูด “ยายหนู เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแต่อยากคุยกับเจ้าเท่านั้น มา นั่งลงเถิด เดินหมากเป็นเพื่อนข้าสักตา”
หลีซูซูมองเขา รู้ว่าพลังตบะของตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ จึงมิได้ปฏิเสธ นั่งลงอย่างผ่าเผยและเริ่มเดินหมากส่งเดช
ดังคาด ผ่านไปไม่นานสีหน้าของประมุขตงอี้ก็บึ้งตึง มองนางอย่างขุ่นเคือง
สำหรับผู้ที่รักการเดินหมาก สามารถทนได้หากผู้อื่นชนะเขา แต่จะทนไม่ได้เลยหากผู้อื่นเดินหมากได้น่าเกลียดเหมือนถ่ายมูลเช่นนี้
เขาโบกมือวูบ กระดานหมากหายวับ เขาถอนหายใจและมองนาง ครู่หนึ่งจึงหัวเราะออกมา
“น่าสนใจทีเดียว”
ทั้งยังเฉลียวฉลาด มิน่าเจ้าลูกอกตัญญูผู้นั้นถึงชอบนางถึงเพียงนี้
“ท่านจะพูดอะไรกันแน่”
“ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่” ประมุขตงอี้นั่งอย่างเคร่งขรึม ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “เปิดออกดูสิ”
ข้างในเป็นคทาหรูอี้* ผลึกม่วงด้ามหนึ่ง
หลีซูซูเงยหน้า “นี่คือ?”
หากนางเดาไม่ผิด นี่เป็นวัตถุเซียนของนายแห่งตงซู่มาทุกยุคสมัย สามารถดูดซับปราณวิเศษฟ้าดิน ถึงขั้นมีตำนานเล่าว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถทำให้มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติใดๆ แม้แต่น้อยสร้างลูกกลอนทองคำขึ้นในร่างกายได้
“ขอขมาต่อเจ้า” ประมุขตงอี้คล้ายรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ “อย่าคิดเพ้อฝัน ตำนานอย่างไรก็คือตำนาน คทาหรูอี้ผลึกม่วงร้ายกาจก็จริง แต่จะใช้ได้ในขั้นหลอมรวมเท่านั้น”
“เหตุใดจึงมอบของสิ่งนี้ให้ข้า” ประมุขตงอี้ดูไม่เหมือนคนที่จะยอมก้มศีรษะให้ใคร มิต้องพูดถึงว่ายังนำวัตถุเซียนระดับนี้ออกมา นี่มิใช่แค่เพียงการขอขมาแล้ว
ผ่านไปเนิ่นนานประมุขตงอี้จึงเอ่ยว่า “ถือว่าข้าขอร้องเจ้า ดีกับเขาหน่อย”
เขาลุกขึ้น พูดอย่างเศร้าสลด “เจ้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด ต่อให้เขาทุ่มหมดตัว ก็อยู่กับเจ้าได้อีกไม่นาน ถือเสียว่าสงสารเขา อย่าให้ชีวิตนี้ของเขาต้องโศกเศร้าเกินไปนักเลย”
เขาจากไปนานแล้ว หลีซูซูยังนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง มองดูคทาหรูอี้ผลึกม่วง
หมายความว่าอย่างไร
ประมุขตงอี้ก็รู้เรื่องที่ชังจิ่วหมินปลอมตัวเป็นเยวี่ยฝูหยาเหมือนกันหรือ
ผ่านไปไม่นานชังจิ่วหมินก็รุดมาถึงอย่างร้อนใจ เขากวาดตามองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หลีซูซูจับกระแสความร้อนรนในน้ำเสียงเขาได้อย่างที่พบเห็นน้อยครั้ง “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เขาทำอะไรเจ้าหรือไม่”
หลีซูซูส่ายหน้า
“เขามอบสิ่งนี้ให้ข้า” หลีซูซูประคองคทาหรูอี้ขึ้นมาให้เขาดู
ชังจิ่วหมินนิ่งไป “มอบของสิ่งนี้ให้เจ้าด้วยเหตุใด”
หลีซูซูเงียบไป ก่อนจะยิ้มพูด “บอกว่าอวยพรให้พวกเราครองคู่ยืนยาวจวบจนผมขาว ข้าคิดว่าของล้ำค่าถึงเพียงนี้ไม่เอาก็เสียเปล่า จึงรับคำอวยพรของเขาไว้”
เขาจับจูงมือนาง คลี่ยิ้มอย่างสงบ “ได้”
ชังจิ่วหมินก้มหน้า ประทับจุมพิตบนหน้าผากนาง
โลกนี้มีการครองคู่ยืนยาวจวบจนผมขาวที่ใดกัน
เขาคิดอย่างเสียดสี
ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าได้คิดจะสลัดข้าออกไปเลย ต่อให้ร่างกายเปื่อยเน่าผุสลาย ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้า เจ้ามาพบข้า…ช่างน่าสงสารโดยแท้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.