บทที่ 109
ผ่านไปไม่ถึงสองวันเหยากวงกลับจากฝึกฝนในโลกมนุษย์ เอาเรื่องสนุกกลับมาเล่าให้หลีซูซูฟังมากมาย
“ตอนอยู่แดนมนุษย์ข้ายังเจอคนรู้จักผู้หนึ่งด้วย เจ้าทายสิว่าเป็นใคร” เหยากวงขยิบตาให้หลีซูซู
แดนมนุษย์? จะมีคนรู้จักได้อย่างไร
หลีซูซูส่ายหน้า
เหยากวงเฉลย “เป็นบุตรสาวบุญธรรมของประมุขตงอี้ก่อนหน้านี้ หากข้าจำไม่ผิด ชื่อไฉ่ซวงกระมัง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่เผิงไหลข้าพบนางหลายครั้ง ท่าทางเสแสร้งอ่อนแอของนางน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ไม่คิดว่าพบกันในแดนมนุษย์ครั้งนี้ร่างเซียนของนางหายไปแล้ว กลายเป็นหญิงชราใกล้ตายผู้หนึ่ง นั่งอยู่ในศาลเจ้าทรุดโทรม แย่งอาหารกับเหล่ายาจก”
หลีซูซูพูดเสียงค่อย “หมายความว่าไฉ่ซวงถูกส่งกลับแดนมนุษย์อย่างนั้นหรือ”
“ใช่ แต่ก่อนประมุขตงอี้ปกป้องนางที่สุดมิใช่หรือ ไฉนครั้งนี้จึงใจดำถึงเพียงนี้”
หลีซูซูพลันคิดถึงคทาหรูอี้ผลึกม่วงในถุงฟ้าดิน ยังมีคำพูดของไฉ่ซวงในวันนั้น นางบอกว่าชังจิ่วหมินไปเสาะหาน้ำตามนุษย์เงือกมาเป็นสินสอดให้นาง เป็นไปได้หรือไม่ว่า…น้ำตามนุษย์เงือกหาใช่สินสอดไม่…แต่เป็นข้อแลกเปลี่ยนระหว่างชังจิ่วหมินกับประมุขตงอี้เพื่อปฏิเสธการแต่งงานกับนาง
ประมุขตงอี้ปลอมตัวเป็นชังจิ่วหมินมาทำร้ายตน อาจจะจงใจสร้างความร้าวฉานระหว่างตนกับชังจิ่วหมิน
หลีซูซูใจลอยเล็กน้อย คำชี้แนะของชังจิ่วหมินตอนอยู่ในสระล้างกระบี่ ความโมโหของเขาตอนเจอตนกับศิษย์สำนักเผิงไหลในป่าซิ่ง ยังมีผลครามที่ส่งมาให้ทุกเช้า ล้วนบ่งบอกเรื่องหนึ่งว่า…เขาไม่เคยคิดทำร้ายตนมาก่อน
“หลีซูซู เจ้าเป็นอะไรไป” เหยากวงถามอย่างห่วงใย “เจ้ากับเยวี่ยฝูหยาอยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้ ไฉนจึงไม่เห็นวิญญาณชีวิตของเจ้าได้รับการซ่อมแซมเสียที”
หลีซูซูตอบว่า “ไม่มีอะไร”
จู่ๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรอยู่ร่วมกับชังจิ่วหมินอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างพวกเขา เขามิได้ติดค้างอะไรนางเลย ประมุขตงอี้ซึ่งเป็นคนเดียวที่ติดค้างนางก็ได้นำคทาหรูอี้ผลึกม่วงมาขอขมาแล้ว เมื่อไม่มีเรื่องให้โกรธแค้นเขา นางรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
คนที่รวมวิญญาณกับตนหาใช่เยวี่ยฝูหยาไม่ แต่เป็นชังจิ่วหมิน ดังนั้น…เขาก็คือคู่บำเพ็ญของนางหรือ วิญญาณชีวิตอ่อนแอ พลังอำนาจจากมรรคาไร้รักจางลงทุกที นางกดหัวใจไว้ เกิดความรู้สึกแปลกๆ
ต่อให้ชังจิ่วหมินเป็นคู่บำเพ็ญของนางจริงๆ ดูเหมือนก็ไม่ได้แย่ถึงเพียงนั้น
หลีซูซูยังไม่ทันคิดได้ว่าควรทำอย่างไรดี เหวร้างในแดนมนุษย์ก็มีไอมารมหาศาลระเบิดออกมา
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสามพิภพ สำนักต่างๆ ล้วนให้ความสำคัญ
ตอนนี้ชังจิ่วหมินอยู่ในสำนักเหิงหยางด้วยฐานะของเยวี่ยฝูหยา อีกไม่นานย่อมต้องติดตามฉวีเสวียนจื่อเดินทางไปเหวร้าง เหวร้างเต็มไปด้วยอันตราย ด้วยสภาพร่างกายของหลีซูซูในตอนนี้ มิอาจติดตามพวกเขาไปด้วยได้
พอรู้ข่าวนี้แล้ว หลีซูซูฟุบอยู่บนโต๊ะ จ้องมองวิหคศักดิ์สิทธิ์นอกหน้าต่างฝูงหนึ่งส่งเสียงดังจอแจ
ชังจิ่วหมินกลัวนางอยู่แต่ในตำหนักเซียนจะเบื่อหน่าย จึงขนย้ายวิหคศักดิ์สิทธิ์บนบรรพตฉางเจ๋อมาไว้นอกตำหนักทั้งหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้อย่างไร วิหคศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ฉางเจ๋อมาชั่วชีวิตน่าสงสารยิ่งนัก
มองดูพวกมันแล้ว นางพลันหัวเราะออกมา
ตกกลางคืนชังจิ่วหมินกลับมา หลีซูซูพูดขึ้นว่า “ข้ามีของสิ่งหนึ่งอยากมอบให้เจ้า เจ้าต้องรอข้ากลับมานะ”
ชังจิ่วหมินเห็นนางรีบร้อนจะออกไปข้างนอกก็อึ้งงันเล็กน้อย “เจ้าจะไปที่ใด”
นางส่ายหน้าไม่ตอบ เอ่ยเพียงว่า “ก่อนฟ้าสางข้าจะกลับมาแน่นอน เจ้าอย่าเพิ่งไปที่ใดนะ” พูดจบ นางวิ่งออกจากประตู มุ่งหน้าไปบรรพตเซียนฉางเจ๋อ
ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บกลับมา นางก็ไม่ได้กลับบรรพตเซียนฉางเจ๋อนานแล้ว
หลีซูซูบังคับกระบี่ เหาะไปบนต้นอู๋ถงต้นหนึ่ง หยิบขนวิหคสีแดงอันหนึ่งออกมา
นี่เป็นขนที่ร่วงลงมาจากร่างเดิมของนางตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ท่านพ่อบอกนางให้เก็บรักษาไว้ให้ดี บางทีวันข้างหน้าอาจจะช่วยชีวิตนางได้
หลีซูซูถือขนวิหค นั่งอยู่ริมสระสวรรค์ ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า รวบรวมพลังวิเศษเป็นเส้นใย ถักทอพู่ห้อยกระบี่ ต้องผสานปราณวิเศษของตนเองลงในขนวิหคเท่านั้น ขนวิหคจึงจะสามารถใช้งานได้
บรรพตฉางเจ๋อเข้าสู่รัตติกาลแล้ว บนท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาว ลมราตรีโชยพัดมาเอื่อยๆ หลีซูซูฝืนต้านความง่วงงุนที่เกิดจากวิญญาณชีวิตพร่องไป บอกตนเองว่าห้ามหลับ
นางไม่เคยทำอะไรให้ชังจิ่วหมินเลย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน จู่ๆ นางก็อยากทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
ของที่ดีที่สุดของนาง ก็คือขนวิหคล้ำค่าอันนี้
หลายปีให้หลังนอกห้วงฝัน หลีซูซูย้อนคิดถึงภาพนี้ เวลานั้นนางไม่รู้เลยว่าแม้ตนเองจะบำเพ็ญมรรคาไร้รักแล้ว ก็ยังคงคิดแต่จะเอาขนวิหคที่ล้ำค่าที่สุดของเฟิ่งหวงทำเป็นพู่กระบี่ คุ้มครองให้เขาปลอดภัย