ก่อนฟ้าสาง ร่างกายหลีซูซูโงนเงน
ตอนชังจิ่วหมินพบตัวนาง นางผล็อยหลับไปริมสระสวรรค์แล้ว มือกำพู่กระบี่พวงหนึ่งที่ใกล้จะทอเสร็จเอาไว้แน่น ขนวิหคสีแดงเปี่ยมด้วยปราณวิเศษที่ไหลเวียน เขาจ้องพู่กระบี่ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์พวงนั้น แววตาเย็นชาหนักอึ้ง มิอาจแยกแยะอารมณ์ ก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา
ชังจิ่วหมินแค่นเสียงเบาๆ “ชอบเขาถึงเพียงนั้นจริงๆ หรือ”
เขากุมมือนาง เฝ้าอยู่ข้างเตียง จวบจนแสงแรกของวันสาดส่อง คนของสำนักเหิงหยางต่างรอเขาออกเดินทาง เขาจึงประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากนาง “ข้าไปละ”
เขาทำตามสัญญารอนางจนฟ้าสาง แต่เป็นนางที่มิได้ตื่นขึ้นมาเอง
ก่อนชังจิ่วหมินจะจากไป เขาหันกลับมามองพู่กระบี่ในฝ่ามือนาง หัวเราะหยันเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ให้เขาอยู่ดี
ทั้งที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นละครเป็นคนอีกคน แต่พอเห็นนางรักปักใจ ทำดีต่อคนผู้นั้นสารพัด หัวใจเขายังคงถูกไอเย็นเยียบรุนแรงแผ่คลุม
จวบจนยามโพล้เพล้ หลีซูซูจึงตื่นขึ้นมา
นางวิ่งตามออกไป พบว่าคนของสำนักเหิงหยางออกเดินทางแล้ว นางมองพู่กระบี่ในฝ่ามือ ถอนหายใจอย่างหัวเสีย
ขบคิดเล็กน้อย นางรีบหยิบหอยสังข์ขอนหนึ่งออกมาจากถุงฟ้าดิน
น่าเสียดาย หอยสังข์ทำได้เพียงส่งเสียงของนางไปยังอีกฝั่ง นางไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด
“ท่านพ่อ ท่านได้ยินหรือไม่ ชัง…เยวี่ยฝูหยาอยู่ข้างๆ หรือไม่”
อีกทางหนึ่ง ฉวีเสวียนจื่อเหลือบมองชังจิ่วหมินที่หลับตาพักผ่อนอยู่
หลีซูซูพูดกับหอยสังข์ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “ข้ามีบางอย่างยังไม่ทันได้บอกเขา ถ้าเขาอยู่ ท่านเอาหอยสังข์ให้เขาได้หรือไม่”
ฉวีเสวียนจื่อฉลาดเฉียบแหลมเพียงใด ไม่ต้องให้นางบอก เขาก็ยื่นหอยสังข์ใส่มือชังจิ่วหมินแล้ว
ชังจิ่วหมินไม่เข้าใจ มุ่นคิ้วมองเขา “อาจารย์?”
ฉวีเสวียนจื่อยิ้มไม่พูดจา ก่อนจะโคลงศีรษะเดินจากไปไกล
หอยสังข์ในมือเปล่งแสงสีขาว ชังจิ่วหมินได้ยินเสียงของนาง “มีเรื่องบางอย่าง เดิมทีอยากบอกเจ้าก่อนหน้านี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่ทันได้บอก พู่ห้อยกระบี่ก็ไม่ทันได้มอบให้เจ้า เจ้าต้องรักษาตัวให้ดีและกลับมาอย่างปลอดภัยนะ”
เงียบไปครู่หนึ่ง นางถึงพูดต่ออย่างจริงจัง “รอให้วิญญาณชีวิตของข้าซ่อมแซมเสร็จแล้ว พวกเราออกไปเที่ยวให้ทั่วดีหรือไม่ สามพิภพกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น พวกเราออกไปดูขุนเขาและสายน้ำ ไอหมอกที่ล่องลอย รุ่งอรุณและสนธยาในแดนมนุษย์ ก่อนหน้านี้มีเรื่องเข้าใจผิดมากมาย การพบกันก็ไม่ดีนัก ทว่าต่อจากนี้ไปข้าจะดีต่อเจ้า”
คิ้วตาของชังจิ่วหมินอ่อนโยนลง
นาง…จะดีต่อข้าอย่างนั้นหรือ
เขาพยายามไม่คิดเปรียบเทียบตนเองกับเยวี่ยฝูหยา ถือเสียว่าคำพูดนี้นางพูดกับเขา
จนกระทั่งตอนสุดท้าย หลีซูซูยิ้มพูด “ข้าเอาหญ้าเซียงหลันมาวางในตำหนักอีกไม่น้อย ข้ารู้แต่แรกแล้ว ว่าเจ้ามิได้รังเกียจกลิ่นนี้”
หอยสังข์เปล่งแสงวูบวาบ ก่อนจะคืนสู่ความเงียบงัน
ชังจิ่วหมินนิ่งงัน ตอนได้ยินคำว่าหญ้าเซียงหลัน หัวใจเขาแทบจะเต้นผิดจังหวะ
หญ้าเซียงหลัน…นี่มันอะไรกัน เยวี่ยฝูหยาเข้าใกล้หญ้าเซียงหลันไม่ได้มิใช่หรือ
เว้นแต่…! ชังจิ่วหมินกำหอยสังข์ในมือแน่น นางรู้ว่าข้าเป็นใคร!
รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ยังคงเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา มิใช่พูดกับเยวี่ยฝูหยา แต่เป็นการพูดกับเขา
เขามิอาจอธิบายความรู้สึกในชั่วขณะนั้นของตน แม้แต่ตัวเขาเองยังยอมรับชะตาแล้ว รอให้ตนเองเปื่อยเน่าไปช้าๆ ท่ามกลางคำโกหก ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน หลีซูซูบอกเขาว่านางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาคือชังจิ่วหมิน
นั่นแสดงว่าระหว่างนางกับเขา ตอนที่นางกอดเขาหอมแก้มเขา ล้วนรู้ว่าเขาเป็นใคร
มือเขายกขึ้นปิดใบหน้าครึ่งซีก พลันหัวเราะเบาๆ ออกมา
ความขมขื่นและความริษยาทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นความหวานปานน้ำผึ้งในเวลานี้
ความเบิกบานที่มาเยือนกะทันหัน ทำให้กลิ่นอายทึมทึบของเขาหายไปสิ้น ศิษย์สำนักเหิงหยางพากันหันมามองอย่างประหลาดใจ เห็นศิษย์พี่ที่ตอนออกเดินทางเมื่อเช้าหน้าบึ้งตึง ยามนี้มุมปากกลับยกขึ้น อารมณ์ดียิ่งกว่าใคร
เดินทางไปสถานที่อย่างเหวร้าง เขายังรื่นรมย์ได้เช่นนี้ สมแล้วที่เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก ทำให้คนเลื่อมใสโดยแท้
ชังจิ่วหมินกำหอยสังข์แน่น รอไว้เขากลับไป จะถอดเปลือกจอมปลอมนี้ออกและปล่อยตัวเยวี่ยฝูหยาที่ถูกขังไว้ เขาจะยอมรับผิด จะไปขอร้องฉวีเสวียนจื่อกับเยวี่ยฝูหยาอย่างจริงใจให้อภัยให้เขา เขาไม่หวาดกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่กลัวสายตาของคนอื่น ไม่กลัวคำซุบซิบนินทาของผู้คน
เขานึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย พู่ห้อยกระบี่นั้นเดิมทีหลีซูซูตั้งใจทำให้ตน น่าเสียดายเมื่อเช้าไฟริษยาจู่โจมจิตใจ เขาไม่ได้รอจนนางตื่น จะกลับไปเหิงหยางตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
เขาพูดเสียงแผ่วว่า “รอข้ากลับมานะ”