บทที่ 112
“เดินต่อไปข้างหน้าก็คือเมืองเจาเหอ ฝ่าบาท แต่ก่อนข้าเคยมาที่นี่ สถานที่แห่งนี้มีคนอาศัยอยู่หลายจำพวก มีเซียนอิสระ มีมนุษย์ธรรมดา ตอนนี้ต้องมีปีศาจด้วยแน่ๆ พวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัย” ปีศาจเสือพูด
มันเดินไปพลางคุยกับถานไถจิ้นไปพลาง แทนที่จะบอกว่ามันเป็นปีศาจเสือ มิสู้บอกว่ามันกลายเป็นสี่ไม่เหมือนไปแล้ว
ถานไถจิ้นตอบเสียงเย็น “หุบปาก”
สำหรับเขา การอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นความอัปยศยิ่งนัก เขายินดีพุ่งออกไปฆ่าคนพวกนั้นให้หมดเสียดีกว่า ทว่าปีศาจเสือตนนี้กลับพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด เอาแต่เตือนให้เขาหลบเลี่ยงจากผู้คนไม่เลิก
ปราณวิเศษกับไอมารทั่วฟ้าดินขาดสมดุล หน้าไม้มารแข็งแกร่งขึ้นทุกที ร่างเซียนของถานไถจิ้นมิอาจกดข่มหน้าไม้พิฆาตเทวะได้อีกต่อไป ไอมารทั่วร่างดูน่ากลัว ก่อนหน้านี้เขายังฝืนปกปิดดวงเนตรสีแดงของตนได้ บัดนี้กลับมิอาจปิดบังโดยสิ้นเชิง
คนของสำนักเซียนและมนุษย์ทั่วไปเห็นเขาแล้วเป็นต้องลงมือ หลายครั้งที่เขาเกือบฆ่าคนภายใต้การยุแยงของหน้าไม้พิฆาตเทวะ แต่มักจะได้สติในตอนสุดท้ายเสมอ
ใต้หล้าไม่มีที่สำหรับเขาอีกแล้ว
ปีศาจเสือก้มหน้าคอตก หนวดเสือไหวระริก
ต่อให้ถานไถจิ้นจะเดียวดายเพียงใด ก็ไม่ต้องการให้มันมาสงสารเขา
“ข้างหน้าไม่ปกติ” ถานไถจิ้นชะงักเท้า
“ตรงที่ใด ตรงที่ใดไม่ปกติ”
ชายหนุ่มในชุดขาวหรี่ตาเล็กน้อย มองหลักเขตแดนเมืองเจาเหอข้างหน้าและเอ่ยว่า “กลิ่นของเลือด”
เดิมทีคิดว่าเมืองเจาเหอค่อนข้างปลอดภัยชั่วคราว แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นถึงเพียงนี้ ผู้คนในเมืองเจาเหออาจจะตายไปหมดแล้ว
“เช่นนั้นพวกเรารีบหนีเถอะ… เอ๋? ฝ่าบาท ท่านจะไปไหน รอข้าด้วย!”
จวนว่าการประจำเมือง
กระบี่ผ่าเวหาตวัดลงไป ขณะที่บุรุษในชุดสีน้ำเงินกำลังจะถูกสังหาร จิ้งจอกตัวหนึ่งกระโจนออกมากลางอากาศ แผดเสียงร้องแหลม ชนกระแทกมือที่ถือกระบี่ กระบี่ผ่าเวหาเบนออกไป สร้างรอยแยกลึกหลายจั้งบนพื้น
“เดรัจฉานขนเหลืองที่ไม่รู้ความ กล้าขวางทางข้ารึ!” กงเหยี่ยจี้อู๋พลิกฝ่ามือ จิ้งจอกกระเด็นออกไป ตกลงบนพื้น ร่างกายเกร็งกระตุก กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาหลายครั้ง
ชายหนุ่มบนพื้นเหลือบตาขึ้น ใบหน้าละม้ายเยี่ยฉู่เฟิงในอดีต เขาคลานเข้าไปอย่างยากลำบาก “เพียนหราน เพียนหราน…”
นิ้วมือของเขากำลังจะแตะตัวจิ้งจอกน้อย กระบี่ผ่าเวหากลับตวัดลงมาอีกครั้ง ดวงตาจิ้งจอกที่ฉายแววตระหนกสะท้อนภาพนี้
“จี๊ดๆๆ!”
ระฆังใบหนึ่งครอบลงมากะทันหัน ขังกงเหยี่ยจี้อู๋ไว้
ผู้ชราผมขาวเคราขาวประคองเยี่ยฉู่เฟิงขึ้นมา “รีบหนีไป!”
เยี่ยฉู่เฟิงตาไวมือเร็ว อุ้มจิ้งจอกที่บาดเจ็บสาหัสบนพื้นขึ้นมา สลายกลายเป็นแสงสีขาวพร้อมกับผู้ชรา ก่อนจะหายวับไปในรัตติกาลของเมืองเจาเหอ
พวกเขาเพิ่งจากไป ระฆังวชิระพลันระเบิดออก กงเหยี่ยจี้อู๋เหินกายตามไป
ผู้ชรารู้ว่าหนีเขาไม่พ้น จึงผลักเยี่ยฉู่เฟิงออก “พาจิ้งจอกของเจ้าหนีไป เจ้ารู้ว่าเขามาเพื่อสิ่งใด ปกป้องไข่มุกรวมชีวิตให้ดี อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของเผ่ามารเด็ดขาด”
เยี่ยฉู่เฟิงก้มมองจิ้งจอกในอ้อมแขนที่อ่อนแอ กัดฟันตอบว่า “ได้”
ผู้ชราหันกลับไปเผชิญหน้ากับกงเหยี่ยจี้อู๋ เขารู้ว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของกงเหยี่ยจี้อู๋และมิอาจรับมือกระบี่ผ่าเวหาได้ แค่สกัดไว้ให้นานที่สุดก็พอ
กระบี่ผ่าเวหาฟันแส้ปัดในมือเขาจนขาดเป็นสองท่อน ผู้ชราถูกจู่โจมจนล้มลงกับพื้น
“เป็นเจ้า” กงเหยี่ยจี้อู๋พูด “ไข่มุกเบิกตะวันอยู่ที่ใด”
ผู้ชราหัวเราะหึๆ “แน่นอนว่าย่อมอยู่ในที่ที่มารปีศาจอย่างพวกเจ้าหาไม่เจอ”
รอยมารบนใบหน้าของกงเหยี่ยจี้อู๋ลามมาถึงหน้าผาก มองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
กระบี่ผ่าเวหาที่ลากไปบนพื้นส่งเสียงบาดหู ท้องฟ้ามีเสียงอสนีครืนครั่น
ผู้ชรารู้ว่าสิ่งที่รอตนอยู่คืออะไร เขาคลี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย “วันนี้มาถึงเร็วเกินไป แต่ยังดีที่กระบี่ผ่าเวหาอยู่ในมือเจ้า” หากเป็นพญามารเมื่อหมื่นปีก่อน ป่านนี้คงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว
กงเหยี่ยจี้อู๋ยกมือขึ้น รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าจึงเปลี่ยนไป