จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 5
ไทเฮารั้งตัวหลีซูซูอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะปล่อยนางออกมา
เป็นเช่นที่แม่ทัพใหญ่เยี่ยบอก ไทเฮาดูเมตตาอารี จิตใจกว้างขวางอย่างมาก
ทว่าหลีซูซูมิได้คิดเช่นนี้ เรื่องที่องค์หญิงเก้ามาท้าประลองกับหลีซูซู ตามหลักไทเฮาน่าจะทราบเรื่องแล้ว แต่ไทเฮากลับไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
หลีซูซูเดาว่าบางทีการที่องค์หญิงเก้ามา อาจได้รับการอนุญาตเงียบๆ จากไทเฮา
หากองค์หญิงเก้าลงมือได้สำเร็จราบรื่น ป่านนี้หลีซูซูคงถูกเฆี่ยนจนสภาพดูไม่ได้ ถึงเวลาไทเฮาปลอบโยนสองสามคำ กลับกลายเป็นคนดีไปเสียอีก
หลีซูซูลอบคิดในใจ เห็นทีสกุลเยี่ยจะเป็นไม้ใหญ่ล่อลม* ราชสกุลไม่พอใจสกุลเยี่ยเสียแล้ว
บางครั้งเวลาผู้อื่นใจกว้างกับเจ้า มิใช่เพราะความชื่นชอบ แต่เป็นเพราะความหวาดเกรง
ในกาลก่อนมักมีศึกสงครามอยู่เนืองๆ ราชวงศ์สกุลเซียวต้องการแม่ทัพใหญ่เยี่ยผู้เป็น ‘เทพสงคราม’ แต่หลายปีมานี้บ้านเมืองสงบสุข ปวงประชาปลอดภัย ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์สูงอย่างมั่นคง ย่อมเลี่ยงมิได้ที่จะบังเกิดความไม่พอใจต่อขุนนางที่เป็นภัยคุกคามตน
หลีซูซูแม้ไม่เคยมีประสบการณ์ในโลกภายนอก กฎเกณฑ์ในโลกมนุษย์ก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่หลักเหตุผลเช่นนี้ นางสามารถทำความเข้าใจได้
เพียงแต่ไม่รู้แม่ทัพใหญ่เยี่ยคิดอย่างไร
บนเส้นทางเดินทางกลับ หลีซูซูพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
นางเอ่ยถามขันทีน้อยผู้นำทาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนถานไถจิ้นอาศัยอยู่ที่ใด”
ขันทีน้อยรู้นิสัยของคุณหนูสามสกุลเยี่ยผู้นี้มาก่อนหน้าแล้ว ยามนำทางให้นางล้วนก้มศีรษะตลอดเวลา เวลานี้ได้ยินหลีซูซูเอ่ยถามกะทันหัน จึงรีบตอบว่า “เมื่อก่อนองค์ชายจื้อจื่ออาศัยอยู่ในวังเย็นขอรับ”
“วังเย็นหรือ พาข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่”
ขันทีน้อยทำหน้าลำบากใจอยู่บ้าง
หลีซูซูคิดถึงคำสอนของท่านพ่อ มาโลกมนุษย์แล้วต้องรู้จักทำตัว ดังนั้นจึงดึงปิ่นอันหนึ่งบนศีรษะลงมายื่นให้เขา “รบกวนกงกงแล้ว”
ขันทีน้อยรีบปฏิเสธ “หามิได้ หามิได้ขอรับ” คุณหนูจวนแม่ทัพผู้นี้ไม่ลงมือกับตนก็บุญแล้ว
หลีซูซูเอ่ย “ไม่เป็นไร รับไว้เถิด”
ขันทีน้อยลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บปิ่นให้ดีและนำทางหลีซูซูไป
ไม่นานหลีซูซูก็เห็นวังตำหนักที่ชำรุดทรุดโทรม
“นี่ก็คือสถานที่ที่องค์ชายจื้อจื่อเคยอาศัยอยู่สมัยก่อน ข้าน้อยยังต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ วังเย็นรกร้างวังเวง คุณหนูเยี่ยอย่าได้รั้งอยู่นาน” เขารับของจากหลีซูซูแล้ว อดมิได้ที่จะเตือนด้วยความหวังดี
หลีซูซูพยักหน้า “ขอบใจมาก”
ขันทีน้อยจากไปแล้ว
ชุนเถามาเยือนวังเย็นเป็นครั้งแรก นางมองเรือนที่มีหญ้ารกสูงสามนิ้ว คิดถึงตำนานเล่าลือที่ว่าวังเย็นมักมีผีออกอาละวาด นางจึงตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณหนู พวกเรามาวังเย็นด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”
หลีซูซูเดินเข้ามาแล้ว รู้สึกถึงไอหยิน* ขุมหนึ่งเช่นกัน แต่ตอนนี้นางอยู่ในร่างของมนุษย์ จึงมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“หากเจ้ากลัว รอข้าอยู่ข้างนอก ประเดี๋ยวข้าก็ออกมา” หลีซูซูพูดกับชุนเถา
ชุนเถารีบสั่นศีรษะ “บ่าวจะติดตามคุณหนูเจ้าค่ะ”
คุณหนูสามฐานะสูงส่งเพียงใด หากนางเกิดเรื่องหรือได้รับบาดเจ็บ ชุนเถาก็ไม่รอดเช่นกัน
พอเห็นชุนเถายืนกราน หลีซูซูมิได้พูดมากอีก ยกชายกระโปรงเหยียบย่างเข้าไปในวังเย็น นางอยากทำความเข้าใจอดีตของถานไถจิ้นให้มากที่สุด
พันหมื่นปีมานี้ ในโลกหล้ามีพญามารเพียงสองตนเท่านั้นที่มีกระดูกมารโดยกำเนิด
ตอนพญามารตนแรกถือกำเนิด เทพบรรพกาลนับไม่ถ้วนจิตวิญญาณแตกดับ สังเวยตบะนับหมื่นปีของตน แม้แต่วัตถุเทพก็แตกสลายไปด้วย จึงจะสามารถกำจัดพญามารได้
หลายปีต่อมา พญามารตนที่สองถานไถจิ้นผงาดขึ้นอีกครั้ง
แต่ผู้บำเพ็ญเพียรในเวลานี้ มิได้แข็งแกร่งห้าวหาญเหมือนคนรุ่นก่อนอีกแล้ว หลายหมื่นปีที่ผ่านมา เซียนที่บรรลุเป็นเทพมีน้อยนิดจนน่าสงสาร ประกอบกับไม่มีวัตถุเทพอีกแล้ว พวกเขาจนปัญญากับถานไถจิ้นโดยสิ้นเชิง
ร่างกายมีกระดูกมาร ย่อมเป็นวิญญาณกึ่งเทพโดยกำเนิด นับแต่สมัยหงฮวง* เป็นต้นมา เหล่าเทพต่างหวาดหวั่นยำเกรง จอมมารก่อนหน้าถานไถจิ้น แทบจะกล่าวได้ว่าอยู่เหนือเทพบรรพกาลด้วยซ้ำ
หากไม่มีการค้นคว้าอย่างเพียงพอ โลกบำเพ็ญเพียรไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจอมมารถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร เหตุใดจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น และจุดอ่อนอยู่ที่ใด
ในช่วงเวลาที่โลกบำเพ็ญเพียรถูกกองทัพมารโจมตีจนต้านไม่ไหว ในที่สุดก็มีคนเสนอว่าให้ใช้ ‘คันฉ่องส่องอดีต’ ซึ่งเป็นวัตถุเทพเสาะหาหนทาง
เซียนทั้งหลายทุ่มเทสุดกำลัง ตามเก็บชิ้นส่วนของ ‘คันฉ่องส่องอดีต’ กลับมา ไม่ง่ายเลยกว่าจะซ่อมแซมได้
กระนั้นคันฉ่องที่ชำรุดกลับมองเห็นเพียงโอกาสสุดท้ายอันเลือนรางเท่านั้น…ร่างเดิมของจอมมารเมื่อห้าร้อยปีก่อนชื่อว่า ‘ถานไถจิ้น’ เป็นมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอผู้หนึ่ง
จุดอ่อนของเขา สาเหตุที่เขาก้าวเข้าสู่วิถีมาร ล้วนมิอาจส่องสะท้อนออกมาได้
อีกทั้งกระดูกมารนี้ การทำลายกายเนื้อและจิตวิญญาณล้วนไม่มีประโยชน์ เมื่อกายเนื้อของถานไถจิ้นตายไป สิบแปดปีให้หลัง กายเนื้อของเขาจะหล่อหลอมขึ้นใหม่อีกครั้ง และมีแต่จะแข็งแกร่งกว่าเดิม
พูดง่ายๆ ก็คือการฆ่าเขายิ่งจะทำให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้นนั่นเอง
เซียนทั้งหลายพูดไม่ออก
เหล่าผู้อาวุโสกลัดกลุ้มยิ่งนัก ครั้นเห็นโลกบำเพ็ญเพียรกำลังจะต้านไว้ไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็กัดฟันตัดสินใจสังเวยตบะเกือบหมื่นปี เปลี่ยนชะตาฟ้าดิน
หลังจากเสี่ยงทายเลือกคน พวกเขาส่งหลีซูซูกลับมายังห้าร้อยปีก่อน หวังว่านางจะถอนกระดูกมารของถานไถจิ้นได้สำเร็จ และทำลายเขาได้โดยสมบูรณ์
จอมมารที่ไม่มีกระดูกมารจะอ่อนแอจนมิอาจทนรับการโจมตี มิอาจดูดซับไอแค้นและไอชั่วร้ายจากฟ้าดินเพื่อคืนชีพได้อีก
นี่เป็นหนทางสุดท้าย
ความคิดนี้ล้ำเลิศทีเดียว
ก่อนออกเดินทาง หลีซูซูขอคำชี้แนะจากท่านพ่ออย่างจริงจัง “หลีซูซูควรจะถอนกระดูกมารออกมาทำลายทิ้งอย่างไรเจ้าคะ”
เจ้าสำนักในอาภรณ์สีฟ้าครามกระแอมกระไอ “ลูกข้า เจ้าต้องขบคิดหาหนทางเอง ทำความเข้าใจอดีตของเขา หาสิ่งที่เขากลัวที่สุดให้เจอ ถึงเวลากำไลหยกที่มารดาเจ้าทิ้งไว้ให้น่าจะช่วยเหลือเจ้าได้”
นี่คือพูดก็เหมือนไม่พูด เช่นนั้นตกลงต้องทำอย่างไรเล่า
สำนักเซียนพึ่งพาไม่ได้ หลีซูซูจึงต้องค้นคว้าหาคำตอบเอง
หลีซูซูคิดอย่างไม่แน่ใจนัก การทำความเข้าใจอดีตของคนผู้หนึ่งและไปเยือนสถานที่ที่เขาเคยอยู่ น่าจะพบเบาะแสข้อมูลไม่น้อยกระมัง
ใจกลางวังเย็น มีเพียงบ่อน้ำบ่อเดียว