จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 67-69
หนึ่งกระบี่ผ่าขุนเขาได้ หนึ่งหัตถ์เก็บจันทราได้
ตราสงบวารี พระธาตุของพระศากยมุนีพุทธเจ้า…ของล้ำค่าในโลกมากมายนับไม่ถ้วน พลังอันยิ่งใหญ่ เขาล้วนมีโอกาสที่จะไขว่คว้า
หมิงเยี่ยโง่เขลา ทว่าเขาหาได้โง่เขลาไม่ หากมอบพลังยิ่งใหญ่เช่นนั้นให้กับเขา เขาไม่มีทางสนใจซังจิ่วหรือเทียนฮวนอะไรนั่นหรอก ความรักบัดซบอะไรกัน ไหนเลยจะเทียบกับพลังอันแข็งแกร่งได้
ทว่ายามนี้หญิงสาวที่นอนอยู่บนตั่งด้วยท่าทางหงุดหงิดกลับเอ่ยปากขอตำแหน่งฮองเฮาจากเขา?
หากเขาตอบตกลงกับนาง เขาก็บ้าเต็มทีแล้ว
อดทนกับความยากลำบากสิบสี่ปี เขาจึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้มา เขาดูเหมือนคนโง่เง่าถึงเพียงนั้นเลยหรือ จะได้แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ให้กับสตรีที่เคยดูหมิ่นเขาผู้นี้หรือไร
นับแต่นี้ไปมิอาจยึดครองดินแดนทางเหนืออย่างง่ายดาย มิอาจได้มาซึ่งวิชาไสยเวทที่ว่ากันว่าจะทำให้คนมีชีวิตเป็นอมตะ ทั้งยังมิอาจเข้าสู่สำนักเซียน
แต่กลับได้ใช้ชีวิต…เยี่ยงสามีภรรยาทั่วไปคู่หนึ่งกับหญิงสาวตรงหน้า แก่เฒ่า และตายไปอย่างเรียบง่ายธรรมดา?
ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวที่เขาอ่านไม่ออก จับไม่ได้ไล่ไม่ทันผู้นี้ ยังอาจแทงเขาได้ทุกเมื่อด้วย
หลีซูซูไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ สีหน้าประเดี๋ยวดุดัน ประเดี๋ยวเหม่อลอย ราวกับสิ่งที่นางต้องการมิใช่ตำแหน่งฮองเฮา หากแต่เป็นชีวิตของเขากระนั้น
ผ่านไปพักใหญ่ เขาเม้มปากตอบว่า “ไม่ได้ เจ้าเป็นฮองเฮาไม่ได้ แต่เราสามารถมอบศักดิ์ฐานะอื่นให้กับเจ้า”
หลีซูซูยกขาขึ้น ถีบไปที่ไหล่เขาหนึ่งทีด้วยความโมโห “ไสหัวไปเสีย ผีเท่านั้นล่ะที่อยากเป็นอนุของเจ้า”
ถานไถจิ้นมิได้ระวังตัวจึงถูกนางถีบเข้าที่ไหล่เต็มแรง เขาหันกลับมาอย่างขุ่นเคือง “เยี่ยซีอู้!”
หลีซูซูเอ่ยตอบ “ตะโกนหาอะไร ข้าได้ยินแล้ว ถ้าเจ้าชอบหาอนุนัก พรุ่งนี้ก็ไปปิดราชโองการหาสตรีมาเติมให้เต็มสามวังหกตำหนักก็ไม่มีปัญหา อ้อ ข้าเกือบลืมไป เจ้ามอบตำแหน่งฟูเหรินให้คนผู้หนึ่งไปแล้ว”
หญิงสาวมองเขาเหมือนมองสิ่งสกปรก “เดาว่านี่คงเป็นความชื่นชอบของเจ้าสินะ มอบตำแหน่งฟูเหรินให้กับทุกคน ไสหัวไปเสีย ไม่ตกลงก็อย่ามารบกวนการนอนของข้า”
หน้าเขาเขียวคล้ำ กัดฟันพูดว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่บุตรสาวของขุนนางที่สิ้นอำนาจแล้วเท่านั้น”
ในเมื่อยังไม่ยอมไสหัวไป หลีซูซูจึงยกขาขึ้น คราวนี้ไม่ไว้หน้ายิ่งกว่าเดิม ถีบไปบนหน้าเขาพลางพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ถึงอย่างนั้นก็ยังสูงศักดิ์กว่าเจ้า”
ถานไถจิ้นคว้าเท้าเนียนดุจหยกของหญิงสาวไว้ “เยี่ยซีอู้ เจ้าอย่าได้ทำตัวไม่รู้ดีชั่ว”
นางยกมือขึ้นทำมุทรา แผ่นยันต์สีเหลืองที่นางวาดไว้ในช่วงหลายวันนี้เพื่อใช้รับมือกับปีศาจเสือลอยออกมาจากแขนเสื้อ
เปลวไฟลุกขึ้นกลางอากาศ เผาคอเสื้อถานไถจิ้นจนไหม้เกรียมในพริบตา
หญิงสาวพลิกตัวไปแล้ว ไม่คิดจะสนใจเขาอีก
หลังย่างเข้าฤดูวสันต์ บรรยากาศในวังคึกคักขึ้นทีละน้อย
ถานไถจิ้นกลับจากประชุมขุนนาง เห็นข้ารับใช้หญิงนับไม่ถ้วนกำลังเก็บดอกซิ่ง พวกนางสวมชุดสีแดง หิ้วตะกร้าสีแดง มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องมีคนสั่งให้ทำเช่นนี้แน่
เว่ยสี่ก้าวเข้ามาอธิบายทันใด “ฝ่าบาท เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงวันขอพรของแคว้นโจวเรา วันนั้นจะมีการอธิษฐานขอพรจากทวยเทพ ขอให้องค์เทพคุ้มครองบ้านเมืองเราให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินผาสุก ปวงประชาปลอดภัย หลายวันนี้เจาหวาฟูเหรินเตรียมการอยู่ตลอด เก็บดอกซิ่งที่งามที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด ส่งไปยังแท่นพยากรณ์ดารา”
ดอกซิ่งตกลงบนมือของถานไถจิ้น เขาแค่นเสียงเบาๆ เอ่ยว่า “ขอพรจากทวยเทพ?”
เว่ยสี่จับกระแสเสียดสีในคำพูดเขาไม่ออก ด้านหลังดอกซิ่งสีขาว เงาร่างแบบบางงดงามสายหนึ่งเดินออกมา
เมื่อเห็นถานไถจิ้นแล้ว ดวงตานางฉายรอยยิ้มอ่อนโยน “ฝ่าบาทกลับมาแล้วหรือเพคะ”
เป็นเยี่ยปิงฉางนั่นเอง
ถานไถจิ้นพยักหน้า เขาเก็บแววเสียดสีในดวงตา ถามเสียงละมุนว่า “ร่างกายของปิงฉางเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยปิงฉางย่อกายพลางตอบเสียงแผ่ว “ร่างกายหม่อมฉันดีขึ้นมากแล้ว ฝ่าบาทโปรดอภัยที่หม่อมฉันบังอาจเตรียมงานพิธีขอพรโดยพลการ หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทไม่สนพระทัยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่ฝ่าบาทเพิ่งจะเป็นฮ่องเต้ของต้าโจว มิอาจขาดการสนับสนุนจากปวงประชาได้”
ความรู้สึกเช่นนี้ สำหรับถานไถจิ้นแล้ว ช่างเป็นสิ่งที่ห่างหายไปนานเหลือเกิน เพราะนอกจากจิงหลันอัน ไม่มีใครที่จะช่วยจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เขาโดยยึดผลประโยชน์ของเขาเป็นหลัก ถานไถจิ้นพูดตอบ “เราจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร”
เยี่ยปิงฉางเผยรอยยิ้มที่แฝงความขลาดเขินอยู่สามส่วน
เดิมนางมีรูปโฉมพริ้มเพราอยู่แล้ว เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางดอกซิ่งที่บานสะพรั่ง รอยยิ้มนี้จึงยิ่งงามกระจ่างและบอบบางน่าทะนุถนอมยิ่งนัก แม้แต่เว่ยสี่กงกงที่เป็นขันที สีหน้ายังฉายแววชื่นชมจางๆ
เยี่ยปิงฉางช้อนตาขึ้น หวังจะได้เห็นความตื่นตะลึงลุ่มหลงจากดวงเนตรของฮ่องเต้หนุ่มในชุดสีนิล ไม่คิดว่าสีหน้าเขายังคงอ่อนโยนเจือยิ้มดุจเดิม ไม่ได้ดูเหินห่างจนเกินไป แต่ก็มิได้มีความเร่าร้อนอยู่เช่นกัน
นางมิได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจกลับบังเกิดความฉงนนิดๆ
เพราะเหตุใดกัน
เพราะเหตุใดจึงใช้ไม่ได้ผลกับถานไถจิ้น
ไม่ มิใช่ว่าจะไม่ได้ผลเสียทีเดียว อย่างน้อยทรราชผู้นี้ก็ดีต่อนางมากกว่าคนอื่นๆ เพียงแต่ครั้งนั้นตอนนางพักอยู่ที่เรือนตากอากาศ ผังอี๋จือที่ฝีปากร้ายกาจนิสัยโอหังยังหลงนางจนหัวปักหัวปำ ใบหน้าแดงซ่าน แต่ท่าทีของถานไถจิ้นออกจะเรียบเฉยเกินไป
เยี่ยปิงฉางครุ่นคิดอย่างนิ่งสงบ ที่ฟังจากปากผู้อื่น ทำให้นางรู้ว่าอีกฝ่ายเย็นชากว่าคนทั่วไปมาก บางทีอารมณ์ของเขาอาจถูกเก็บงำเป็นอย่างดีก็เป็นได้
ความรักของเซียวหลิ่น มิใช่อ่อนโยนดุจสายน้ำหรือ
คิดได้เช่นนี้ นางก็ไม่ร้อนใจอีก พานางกำนัลในชุดแดงกลุ่มหนึ่งจากไป
พอนางจากไป รอยยิ้มในดวงตาถานไถจิ้นก็หายไปไม่เหลือ เขาขยี้ดอกซิ่งในมือจนเละและเดินเหยียบมันไป
เว่ยสี่วิ่งเหยาะๆ ตามมา ถามถานไถจิ้นอย่างประจบประแจงว่าคืนนี้จะกินอาหารค่ำที่ใด
คำถามนี้น่าขบคิดทีเดียว ถึงอย่างไรน้ำใจของเจาหวาฟูเหรินก็ล้ำค่ายิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรทรราชน้อยก็ต้องปลอบประโลมจิตใจของฟูเหรินสักหน่อย
ถานไถจิ้นยังมิได้ตอบอะไร คิ้วตาพลันเย็นเยียบกะทันหัน
เว่ยสี่เงยหน้ามองไป เห็นหญิงสาวในชุดสีชมพูนั่งยองกับพื้น ในมือถือชามหยกกับช้อน กำลังป้อนน้ำให้บุรุษในชุดเหลืองผู้หนึ่ง
หลีซูซูป้อน บุรุษผู้นั้นก็อ้าปาก
เขามีใบหน้าองอาจ เถรตรงหน่อยๆ เปี่ยมด้วยความเป็นชาย ทั้งยังดูทึ่มทื่อเล็กน้อย
ถานไถจิ้นมองดูอย่างเย็นชา หลีซูซูตระหนักถึงการมาถึงของเขา จึงเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง
บุรุษในชุดเหลืองมองหลีซูซูตาแป๋ว หลีซูซูตักน้ำอีกช้อนป้อนใส่ปากเขา เขาคลี่ยิ้มเต็มหน้าอย่างดีอกดีใจ
หลีซูซูยังจะป้อนต่อ ทว่าข้อมือกลับถูกคนคว้าไว้กะทันหัน นางเหลือบตาขึ้น เห็นใบหน้าที่เย็นเยียบจนน่ากลัว
ทรราชน้อยเอียงศีรษะเอ่ยถามนางเสียงค่อยว่า “เจ้าทำอะไรอยู่”
หากเขาโมโหยังดีเสียกว่า ท่าทางเช่นนี้ ชัดเจนว่าโรคกำเริบอีกแล้ว
หลีซูซูยิ้มไม่ตอบ
ถานไถจิ้นยิ้มเช่นกัน “เนี่ยนไป๋อวี่”
เนี่ยนไป๋อวี่ปรากฏตัวข้างหลังเขาทันใด
ถานไถจิ้นเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พิธีขอพรต้องใช้โคมสวรรค์หลายดวง เราได้ยินมาว่า โคมสวรรค์ที่ทำจากหนังมนุษย์ทนทานและงดงามเป็นที่สุด เราว่าหนังของเขาไม่เลวเลยทีเดียว”
คนที่เขาชี้คือบุรุษในชุดเหลืองที่หมอบอยู่บนพื้น
เว่ยสี่ฟังออกว่าทรราชน้อยมิได้มีท่าทีล้อเล่น สองขาของเขาพลันสั่นพั่บๆ
เนี่ยนไป๋อวี่รับคำด้วยสีหน้าราบเรียบ “พ่ะย่ะค่ะ”
หลีซูซูเข้ามาขวางหน้าบุรุษในชุดเหลือง “ช้าก่อน! เจ้าคิดจะทำอะไร”
ถานไถจิ้นมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง
หลีซูซูมองถานไถจิ้น จากนั้นมองบุรุษในชุดเหลืองบนพื้นที่ทำหน้างุนงงและหวาดกลัว นางพูดว่า “เจ้าจะฆ่าเขาจริงๆ หรือ”
ถานไถจิ้นไม่ตอบ ทว่าดวงตาดำเข้มกลับเต็มไปด้วยไอสังหาร ไม่รู้พุ่งเป้าไปที่ใครกันแน่
หลีซูซูพูดด้วยน้ำเสียงประหลาด “เขาก็คือปีศาจเสือของเจ้า”
พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา โทสะเยียบเย็นในดวงตาถานไถจิ้นแข็งชะงักทันใด เขาก้มมองบุรุษในชุดเหลืองบนพื้น
บุรุษในชุดเหลืองยิ้มประจบเขาอย่างขลาดกลัว หากว่ามีหาง เดาว่าคงตกใจจนหางหดลีบแล้วเป็นแน่ นี่เขาก็แค่ขอน้ำยันต์ขจัดปราณขุ่นจากนางมาดื่มเท่านั้นเอง ไฉนถานไถจิ้นจึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลายร่างในเตาอัคคีแดงได้ เขาก็อยากตั้งใจฝึกบำเพ็ญบ้างเหมือนกันนะ ไฉนทรราชน้อยจะฆ่าเขาอีกแล้ว ทั้งยังจะถลกหนังเขาด้วย