จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 67-69
งานเลี้ยงในวังยังไม่จบ เวลานั้นเยี่ยปิงฉางเพิ่งจะผูกหยกวารีอีกชิ้นให้ถานไถจิ้น
“ขอให้ฝ่าบาทสุขสมหวังไร้เทียบเทียม ปลอดภัยราบรื่นเพคะ” นางยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย ดูงดงามยิ่งกว่าบุปผา
ถานไถจิ้นเงียบไป มุมปากยกขึ้น เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
เยี่ยปิงฉางมองเขา เห็นเงาของเซียวหลิ่นจากสีหน้าเขาหลายส่วน นางนึกอยากขมวดคิ้วเล็กน้อย
เสียงเครื่องสายและเครื่องเป่าดังต่อเนื่อง เหล่านางรำร่ายรำอย่างพลิ้วไหว แขนเสื้อน้ำโบกไปมา ประหนึ่งอยู่ในห้วงฝันอันงดงาม
ชั่วเวลาต่อมา เนี่ยนมู่หนิงในชุดเข้ารูปวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน กระซิบบางอย่างข้างหูถานไถจิ้น
เยี่ยปิงฉางเห็นกับตาว่าหน้ากากของความอ่อนโยนบนหน้าถานไถจิ้นหายวับไป เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นน่ากลัวในพริบตา แววตาเขาค่อยๆ มืดทะมึน จังหวะหายใจทำให้แผงอกสะท้อนขึ้นลงอย่างไม่สม่ำเสมอ เขาใช้แววตาที่เปี่ยมด้วยความชั่วร้ายชิงชังมองทุกคนที่อยู่ภายในงาน
เหล่าขุนนางเบื้องล่างดื่มสุราสังสรรค์ ไม่ตระหนักแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ในชุดสีนิลลุกพรวด ทุกคนต่างมองมา สีหน้าอึมครึมของเขาเจือรอยยิ้มเย็นเยียบดุจสายน้ำ “เรามีธุระ ต้องขอตัวก่อน ทุกท่านไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายเถอะ”
ทุกคนหวาดเกรงเขามากกว่าเคารพ โดยเฉพาะขุนนางที่กลืนเนื้อถานไถหมิงหล่างเข้าไปก่อนหน้านี้ ต่างรีบคารวะและขอตัวทันที
คันธนูสีนิลถูกยื่นใส่มือฮ่องเต้ เขาคล้ายกำลังจะออกไปล่าเหยื่อที่ไม่เชื่อฟัง เดินออกไปข้างนอกด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
เยี่ยปิงฉางอยู่ใกล้เขามาก นางย่อมได้ยินสิ่งที่เนี่ยนมู่หนิงพูด
เยี่ยปิงฉางมองแผ่นหลังของเขา รู้ดีว่าธนูคันนั้นไม่มีทางยิงลูกออกไปจริงๆ เขาแค่อยากขู่หญิงสาวที่ไม่เชื่อฟังผู้นั้นเท่านั้นเอง
ถานไถจิ้นเดินออกไปหลายก้าว ก่อนจะหันกลับมากะทันหัน
น้ำตาของเยี่ยปิงฉางไหลอาบแก้ม หลั่งน้ำตาพลางมองเขา
ถานไถจิ้นเงียบงันเนิ่นนาน เผยรอยยิ้มที่แข็งทื่อเล็กน้อยออกมา “เราลืมมอบของขวัญคืนให้เจ้า เนี่ยนไป๋อวี่ พาฟูเหรินไปที่คลังสมบัติ ถูกใจสิ่งใดก็นำไปมอบให้ฟูเหริน”
เยี่ยปิงฉางมองเขาด้วยแววตาอ้อนวอน
เขาหันกายก้าวยาวๆ จากไป
เสี่ยวฮุ่ยพูดอย่างเป็นกังวล “ฟูเหริน…”
เยี่ยปิงฉางเช็ดน้ำตาบนใบหน้าจนแห้ง พึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสุขุม “ยังคงไม่สำเร็จ”
เนี่ยนมู่หนิงกับองครักษ์เยี่ยอิ่งติดตามฮ่องเต้ในอาภรณ์สีนิลออกจากวัง หญิงสาวบนท้องถนนส่วนใหญ่ล้วนสวมหน้ากาก
ผู้คนสัญจรไปมา เสียงหัวเราะเบิกบานดังไปทั่ว การตามหาหญิงสาวผู้หนึ่ง ใช่เรื่องง่ายดายเสียที่ใด
เนี่ยนมู่หนิงพูด “ฝ่าบาท คุณหนูสามไม่มีทางจากไป ท่านย่าของนางยังอยู่ในมือของพวกเรา”
ถานไถจิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันตราย ไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น “เราว่าอยู่แล้วเชียว นางจะต้องหนีไปแน่ๆ เราควรจะตีขานางให้หัก”
มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัว เหมือนเช่นมารดาเขา การดำรงอยู่ของนางเป็นอุปสรรคต่อการถือกำเนิดของเขา เขาจึงเลือกที่จะสังหารนางโดยไม่ลังเล เช่นนี้มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่หลีซูซูจะทอดทิ้งท่านย่าชราไร้ประโยชน์ของนางผู้นั้น!
เนี่ยนมู่หนิงมองถานไถจิ้นกระชากแขนของสตรีในชุดม่วงผู้หนึ่ง ก่อนจะดึงหน้ากากของนางออก เมื่อพบว่ามิใช่คนที่ต้องการตามหา เขาก็สะบัดคนออกทันที
เขาเหมือนคนที่ถูกทรยศ เสียใจและโกรธแค้นถึงขีดสุด โมโหจนตาแดงก่ำ
“นางผิดคำสัญญา รอไว้เจอตัวนางแล้ว เราจะจับนางกับยายเฒ่าผู้นั้นโยนลงบ่องูด้วยกัน!”
เนี่ยนมู่หนิงไม่กล้าเอ่ยอะไร อาจเพราะคิดไปเอง นางจับกระแสความน้อยใจและทำอะไรไม่ถูกได้จากความกรุ่นโกรธครั้งนี้ของฝ่าบาท
คุณหนูสามสกุลเยี่ยฝีมือร้ายกาจ หากนางหนีไปจริง ใต้หล้านี้น้อยคนที่จะตามหานางพบ
พวกเขาเดินหาอยู่นาน ท่าทางดุดันขององครักษ์เยี่ยอิ่งทำให้ผู้คนพากันถอยหลบ
ถานไถจิ้นพลันชะงักเท้า
เวลานั้นเขายืนอยู่บนสะพานไร้โทมนัส ใต้สะพานมีคู่รักหลายคู่ ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววอึมครึมจ้องมองหนุ่มสาวคู่แล้วคู่เล่า มุมปากพลันเผยรอยยิ้มเย็นชา
เนี่ยนมู่หนิงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ
ฝ่าบาทพาดลูกธนูไปบนสายแล้ว เขาเล็งไปยังกลุ่มคน ลูกธนูยิงถูกหัวเข่าของชายผู้หนึ่ง หญิงสาวที่มากับชายหนุ่มหวีดร้องเสียงแหลม
บรรยากาศรื่นเริงเปลี่ยนเป็นโกลาหลทันตา เนี่ยนมู่หนิงเอ่ยอย่างลนลาน “ฝ่าบาท พวกเขาเป็นราษฎรของท่านนะ”
ต้นฤดูวสันต์อากาศหนาวเย็น ท่ามกลางสายลมราตรี ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้ม “อ้อ ใครสนใจเล่า”
เขาพาดลูกธนูอีกครั้ง เริ่มเข่นฆ่าคน
เนี่ยนมู่หนิงใบหน้าซีดเผือด นางไม่เหมือนน้องชายเนี่ยนไป๋อวี่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตของถานไถจิ้น ราษฎรที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ต่างจากสุกรและแพะในสายตาเขา ดวงตาเขาเจือไอโลหิต ถึงขั้นมีรอยยิ้มประปรายด้วยซ้ำ
หัวสมองของนางว่างเปล่าขาวโพลน สุดท้ายหยิบหน้ากากผีสีขาวดำที่มีเขี้ยวออกมาสวมให้ถานไถจิ้น
มิอาจทำให้ราษฎร…หมดใจ
มือเท้าของนางเย็นเฉียบ
ขณะที่สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุมโดยสิ้นเชิง คนผู้หนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลเตะคันธนูในมือถานไถจิ้นออก
ผู้มามีเรือนผมสีดำดุจน้ำตก รับคันธนูที่ร่วงหล่น และเล็งไปที่ถานไถจิ้นอย่างเย็นชา
เนี่ยนมู่หนิงรีบปัดมือของผู้มาออกและคุ้มกันฝ่าบาท
ถานไถจิ้นโยนหน้ากากของตนเองทิ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
เขายื่นมือออกไป ถอดหน้ากากเงินลายผีเสื้อของหญิงสาวตรงหน้า
บุปผาในโลกมนุษย์ผลิบานไปทั่ว ภายใต้หน้ากาก ดวงเนตรของหญิงสาวที่เย็นชาเล็กน้อยดูคล้ายใบมีดในราตรี จ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคืองหลายส่วน
ถานไถจิ้นมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
ในใจของเนี่ยนมู่หนิงอดคิดถึงการลงทัณฑ์ในบ่องูที่ฝ่าบาทพูดก่อนหน้านี้มิได้
ความโกลาหลในฝูงชนยังไม่ยุติ เสียงหวีดร้องแหลมดังขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
ชายหนุ่มในชุดสีนิลกอดหญิงสาวตรงหน้ากะทันหัน เขากอดแน่นมาก เหมือนจะบดกระดูกนางให้แหลกลาญแล้วนำเถ้าธุลีไปโปรยทิ้ง
ทว่าหากต้องการให้นางตายจริง ย่อมไม่มีทางมอบอ้อมกอดให้แน่นอน
นัยน์ตาดำเข้มของเขาจ้องโคมบุปผาดวงแล้วดวงเล่าที่ลอยอยู่ในคูเมืองพลางเอ่ยคำพูดข้างหูหลีซูซูคำหนึ่ง
หลีซูซูตะลึงงัน “อะไรนะ”
เสียงหวีดร้องกลบเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่ม นางรู้สึกเพียงเรี่ยวแรงที่เอวคล้ายจะขยี้นางให้แหลกเหลว
เขาเม้มปาก ไม่พูดซ้ำอีกครั้ง มองดูสายน้ำที่ไหลอยู่เบื้องล่างด้วยสีหน้าบึ้งตึงเย็นชา
โกวอวี้กระซิบเสียงค่อย “เขาบอกว่าให้เจ้าเป็นฮองเฮา ถ้ายังหนีอีก เราจะฆ่าเจ้าจริงๆ”
หลีซูซูนิ่งงันครู่หนึ่ง ก่อนจะผลิยิ้มออกมา
ตะปูสีทองสามดอกหมุนวนอยู่ในหยาดน้ำตา โกวอวี้ดีอกดีใจ “ตะปูดับวิญญาณปรากฏออกมาสามดอกแล้ว”
ยังเหลืออีกหกดอก
ถานไถจิ้นไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เขาหลุบตาเล่นหน้ากากเงินลายผีเสื้อของหลีซูซู สีหน้าน่ากลัวราวกับนางไปฆ่าคนในบ้านเขาทั้งตระกูลกระนั้น
หายากที่หลีซูซูจะไม่รู้สึกต่อต้านเขาถึงเพียงนั้น
นางจงใจพูดขึ้นว่า “ชุดหงส์ข้าจะเอาสีน้ำเงิน ปักลายเฟิ่งหวง* สีแดง”
เขาตีหน้าเย็นชา ไม่เอ่ยอะไร
หลีซูซูไม่ได้อยากเป็นฮองเฮา แต่เห็นเขาทำหน้าซังกะตาย เหมือนผีที่มาทวงหนี้ ราวกับท้องฟ้าจะถล่มลงมาเช่นนี้แล้ว นางรู้สึกเบิกบานใจยิ่ง นางพยายามควบคุมสีหน้าตนเองให้ดี เลียนแบบความเย็นชาอึมครึมบนใบหน้าเขา
“เจ้าอยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ” เขาเอ่ยเสียงขรึม
คำพูดนี้ก่อนหน้านี้เขาก็เคยพูด ตอนนั้นเขาตาบอดไปข้างหนึ่ง และเป็นหลีซูซูที่ไปพบตัวเขา
ทว่าวันนี้หลีซูซูไม่เกรงใจแล้ว นางซุกหน้ากับวงแขน ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
เขาเม้มปาก กำหน้ากากเงินลายผีเสื้อแน่น
ผ่านไปครู่ใหญ่ เห็นนางยังหัวเราะไม่เลิก ถานไถจิ้นก็หมดความอดทน ยกมือขึ้นบีบคางนาง “พอที รู้จักพอประมาณบ้าง เราให้เจ้าเป็นฮองเฮา มิได้หมายความว่าเราจะทนเจ้าได้!”
หญิงสาวกะพริบดวงตาชุ่มชื้นคู่นั้นพลางยิ้มพูด “อ้อ”
เขาจ้องนางอยู่นาน ก่อนจะกัดฟันเอ่ยว่า “หากเจ้าหลอกเราอีก…”
ดวงตาของถานไถจิ้นเจือแววเย็นเยียบ เหมือนเปลวเพลิงสีดำสองกอง หลีซูซูเห็นแล้วก็รู้ว่าครั้งนี้ถานไถจิ้นมิได้ล้อเล่นกับนาง ถลกหนังเลาะกระดูก เขาล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้น
หากนางทรยศเขาจริงๆ หรือหนีไปอีกครั้ง เขาจะต้องเกลียดนางไปจนตายแน่
หลีซูซูมองนัยน์ตาดำสนิทของชายหนุ่ม ความเย็นเยือกขุมหนึ่งผุดขึ้นที่สันหลัง
เพราะนางรับรู้ว่าหยาดน้ำตาดับวิญญาณที่กลายเป็นตะปูศักดิ์สิทธิ์ยามนี้มีสามดอกแล้ว จึงจิตใจสงบลงอย่างมาก
ร้อยปีให้หลัง บุคคลตรงหน้าก็เป็นเพียงทรายเหลืองกองหนึ่งเท่านั้น
* เทศกาลบุปผา อยู่ในช่วงเดือนสองตามปฏิทินจันทรคติจีน เปรียบเหมือนเทศกาลวันเกิดของหมู่มวลบุปผาของจีน ชาวบ้านมักจับกลุ่มกันไปชมทิวทัศน์หรือดอกไม้บริเวณชานเมือง มีการบูชาเทพบุปผาและตัดกระดาษหลากสีไปแขวนห้อยบนต้นไม้
* เฟิ่งหวงเป็นราชาแห่งนกในตำนานเทพนิยายจีน มักถูกบรรยายว่ามีขนห้าสี รูปร่างคล้ายไก่ฟ้าผสมนกยูง เฟิ่งมักเป็นคำเรียกสัตว์เพศผู้ ส่วนหวงเป็นคำเรียกสัตว์เพศเมีย