ถานไถจิ้นถูกขังในเรือนตะวันออก
เรือนตะวันออกตั้งอยู่ตรงทางลมพัด เป็นเรือนที่หนาวเหน็บที่สุดภายในจวน ถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว ปกติใช้เป็นที่เก็บฟืน หน้าต่างชำรุด ลมหนาวพัดเข้ามาจึงพาให้คนหนาวยะเยือกไปทั้งตัว
ถานไถจิ้นนั่งอยู่ ณ มุมหนึ่ง เลียริมฝีปากที่แห้งผาก
จวบจนตกค่ำก็ยังคงไม่มีคนมาส่งอาหารให้เขา ถานไถจิ้นสีหน้าราบเรียบ กลับรู้สึกว่าอยู่ในความคาดหมาย ชีวิตเช่นนี้เขาเองก็ชินแล้ว บางครั้งอดอาหารวันสองวัน คนก็ไม่ถึงขั้นหิวตาย
ท้องฟ้าราตรีในเหมันตฤดูไม่มีแสงจันทร์ ข้างนอกเงียบสนิท หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
เขาคว้าหิมะสองกำมือ กลืนกินลงไป ในกระเพาะยังคงรู้สึกทรมานยิ่งนัก ถานไถจิ้นนั่งลง หยิบยันต์คุ้มครองในแขนเสื้อออกมา
ยันต์คุ้มครองที่เดิมทีเก่ามากอยู่แล้ว หลังถูกฉีกทึ้งกระชากเมื่อวาน ด้ายที่เย็บไว้ก็ลุ่ยออกมา
สายตาเขาเหมือนดังบ่อน้ำลึก กวาดผ่านจุดที่ถูกทำลายเสียหาย ในใจมีความชั่วร้ายขุมหนึ่ง เพิ่มพูนขึ้นมาจากรอยขาดนี้ไม่สิ้นสุด
เด็กหนุ่มสูดหายใจเบาๆ ฝืนข่มอารมณ์รุนแรงนี้ลงไป และเก็บยันต์คุ้มครองไว้ในอกเสื้ออีกครั้ง
เพียงแต่น่าเสียดาย ต่างหูของนางหายไปแล้ว
เขาหลับตาลง พิงผนังห้องพักผ่อน ต้องเหลือลมหายใจไว้ จะตายอย่างไม่เอาไหนในห้องเก็บฟืนไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่เชื่อว่าเยี่ยซีอู้จะช่วยเหลือตน หากเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร เขาต้องเดินออกไปจากที่นี่ด้วยตนเอง
กลางดึกยามที่สายลมพัดหิมะ ถานไถจิ้นได้ยินเสียงฝีเท้าโซซัดโซเซดังขึ้นนอกประตู
เขาลืมตา ฟังจากเสียงฝีเท้าก็รู้ว่าเป็นสตรีสองคน
ราตรีมืดดำขยายประสาทรับรู้ให้ไวขึ้นไม่รู้กี่เท่า ถานไถจิ้นได้ยินเสียงหอบหายใจแผ่วเบา อึดใจต่อมา สตรีที่สวมชุดคลุมกันลมสีขาวล้มลงในเรือนตะวันออก
ตอนที่นางล้มลงบนพื้น สีหน้ายังฉายความงุนงงหลายส่วน
มองผ่านแสงไฟอ่อนสลัว ถานไถจิ้นเห็นเด็กสาวบนพื้นที่สภาพค่อนข้างทุลักทุเล
ปี้หลิ่ววางผ้าห่มกับโคมแก้วหลิวหลีและรีบประคองหลีซูซูขึ้นมา นางเหลือบมองถานไถจิ้นแวบหนึ่งอย่างดูแคลน เหยียดปากเอ่ยว่า “องค์ชายจื้อจื่อรู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรกระมัง”
พูดจบ ปี้หลิ่วก็ปิดประตูเรือนตะวันออกและจากไป
ทิ้งหลีซูซูไว้กับถานไถจิ้นในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้
หลีซูซูตัวสั่น นั่งพิงมุมห้องอีกฝั่ง นิ้วมือนางจับชุดคลุมกันลมแน่น พวงแก้มแดงซ่าน ลมหายใจถี่กระชั้น
ถานไถจิ้นลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหานาง “คุณหนูสาม?”
“เจ้าอย่าเข้ามา” หลีซูซูเอ่ยคำพูดนี้จบด้วยเสียงหอบหายใจ ข้างนอกหิมะกำลังตก แต่นางกลับร้อนจะตายอยู่แล้ว
คืนนี้เพิ่งจะหลับไป ร่างกายก็พลันร้อนรุ่ม นางลืมตาขึ้นถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตนเอง
เวลานั้นเอง ปี้หลิ่วเข้ามา บอกนางเสียงค่อย “วันนี้เป็นวันที่สิบห้า คุณหนูฤทธิ์ยากำเริบใช่หรือไม่ บ่าวจะพาท่านไปหาจื้อจื่อ”
หลีซูซูกอดผ้าห่มแน่น หอบหายใจเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร”
นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
ปี้หลิ่วตอบ “คุณหนู ท่านลืมไปแล้วหรือ พิษของหนอนไหมใยวสันต์จะกำเริบทุกสามเดือน ยาถอนพิษของท่านถูกจื้อจื่อกินลงไป”
หลีซูซูถึงได้ตระหนักว่าเรื่องการวางยาไม่มีวันจบสิ้น
ยาอย่างหนอนไหมใยวสันต์นี้ คุณสมบัติดั้งเดิมเหมือนยาพิษมากกว่า เอาความหมายมาจาก ‘หนอนไหมใยวสันต์ จวบตายใยจึงสิ้น’ ฝ่ายที่กินยาพิษเข้าไป ทุกสามเดือนอาการจะกำเริบครั้งหนึ่ง จะต้องร่วมคู่กับคนที่กินยาถอนพิษเข้าไป อาการจึงจะบรรเทา
ส่วนฝ่ายที่กินยาถอนพิษ มีเพียงวันแรกเท่านั้นที่มีอาการเหมือนกินยาปลุกกำหนัด ต่อจากนั้นล้วนปกติ
ว่ากันว่ายาชนิดนี้เป็นโอสถลับของเผ่าอี๋เยวี่ยที่หายสาบสูญไปแล้ว สมัยก่อนขุนนางและชนชั้นสูงเอามาใช้ควบคุมสตรีที่ฉุดคร่ามาโดยเฉพาะ ทำให้พวกนางมิอาจไปจากตนตลอดกาล
เจ้าของร่างเดิมเคียดแค้นเยี่ยปิงฉางที่แย่งชิงความรักของตนไป ดังนั้นจึงไม่วางยาปลุกกำหนัดทั่วไป ถึงกับสรรหาหนอนไหมใยวสันต์ที่ทำให้คนหยุดหายใจมาใช้
ต่อให้เป็นสตรีผู้มีคุณธรรมกล้าแกร่งกินเข้าไปก็ทานทนไม่ไหว
เจ้าของร่างเดิมอยากเห็นเยี่ยปิงฉางขาดคุณชายเสนาบดีหัวโตหูกางผู้นั้นมิได้
ไม่คิดว่ายานี้ สุดท้ายกลับถูกตนเองกินลงไปแทน หลีซูซูว่าแล้วเชียวว่าเหตุใดเจ้าของร่างเดิมมีฐานะเช่นนี้ สกุลเยี่ยเพื่อชื่อเสียง กลับให้นางแต่งงานกับตัวประกันผู้หนึ่ง
ที่แท้เป็นเพราะไม่แต่งไม่ได้
ไม่แต่งก็คือตาย