แน่นอน หนอนไหมใยวสันต์สามารถอดทนได้ แต่จะทรมานมากขึ้นทุกครั้ง
ครั้งก่อนเจ้าของร่างเดิมอดทนอยู่ครึ่งชั่วยาม* ครั้งนี้หลีซูซูต้องอดทนสองชั่วยาม นางนั่งสมาธิเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา* ร่างกายเปียกชุ่มไปหมด เจ็บปวดเกินจะรับไหว
ปี้หลิ่วเอ่ยว่า “คุณหนูสาม บ่าวประคองท่านไปหาจื้อจื่อดีกว่า ท่านอยู่ข้างกายเขา ย่อมรู้สึกดีขึ้นหน่อย”
หลีซูซูกัดฟัน “ไม่ ไม่!”
นางยืนหยัดได้อีกหนึ่งถ้วยชา สุดท้ายวิญญาณใกล้หลุดลอยสู่สรวงสวรรค์เต็มที ปี้หลิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลง ประคองนางมาที่เรือนตะวันออก
หลีซูซูทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง แทบจะถูกปี้หลิ่วหามเดิน กระทั่งสติสัมปชัญญะก็เริ่มเลอะเลือน
เงาแสงเบื้องหน้านางวูบไหวไปมา ยังพอแยกแยะเค้าโครงของคนตรงหน้าได้ นางจำได้ว่าเขาคือมารที่ชั่วร้ายตนนั้น
หลีซูซูกัดริมฝีปากจนเลือดออก นางกอดแขนตนเอง ฝืนข่มความรู้สึกอยากเปลื้องอาภรณ์เอาไว้
ถานไถจิ้นเข้าใจอะไรแล้ว สีหน้าเชื่อฟังไร้พิษภัยยามปกติของเขา เปลี่ยนเป็นเหยียดหยันเย็นชาในพริบตา
ที่แท้นี่คือเหตุผลที่เมื่อวานนางห้ามไม่ให้คนทำร้ายเขาจนพิการ เป็นเพราะคิดว่าคืนนี้เขายังมีประโยชน์สินะ
เด็กหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้านาง เกลี่ยปอยผมบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อออกอย่างแผ่วเบา “คุณหนูสาม ท่านดูทรมานมาก”
หลีซูซูปิดปากแน่นสนิท นางกลัวจริงๆ ว่าหากตนเปิดปาก จะเปล่งเสียงที่ไม่สมควรออกมา นางรู้สึกว่าตนเองถูกเผาจนใกล้ตายเต็มที และใกล้เพียงตรงหน้านี้เอง มีน้ำแข็งอยู่ก้อนหนึ่ง
หลีซูซูเอ่ย “อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย!” นางเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดในใจเยี่ยซีอู้ชมชอบเซียวหลิ่นถึงเพียงนั้น สุดท้ายแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตนเองก็ไม่เอา ขอร้องให้ถานไถจิ้นช่วยตน
ยานี้ทรมานคนเกินไปแล้ว!
เด็กหนุ่มตรงหน้าเอียงศีรษะเล็กน้อย
ภายใต้แสงสว่างจากโคมแก้วหลิวหลี เด็กหนุ่มดูอ่อนแอยิ่งนัก สีหน้าไร้พิษภัย
แต่เสียงของเขาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ น้ำเสียงเยียบเย็น เหมือนกำลังทุบน้ำแข็งอันแข็งแกร่งให้แตกละเอียดอย่างช้าๆ “คุณหนูสามบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านเป็นอะไรไป”
เจตนาชั่วร้ายในตัวของเด็กหนุ่มคล้ายมีและคล้ายไม่มี
เยี่ยซีอู้ในอดีตเคยเป็นอย่างไร ตอนนี้ถานไถจิ้นก็เป็นอย่างนั้น
เขาอยากเห็นความสว่างไสวเจิดจ้าเมื่อวาน เปล่งเสียงครวญครางซ้ำไปมาแทบเท้าเขาในวันนี้อย่างไร้ศักดิ์ศรีด้วยท่าทียั่วยวนไม่สิ้นสุด
ความหยิ่งทะนงในดวงตานางจะถูกบดทำลาย ทำตัวเหมือนอย่างเขา เหมือนหนอนที่มิอาจพบเจอแสงสว่าง ขอร้องคนที่นางดูถูกให้สัมผัสนาง
แต่เขาไม่มีทางสัมผัสนาง…สกปรก
ถานไถจิ้นพิงผนังเย็นเฉียบ แม้แต่แววตาไร้พิษภัยก็คร้านจะเสแสร้งแล้ว มองสำรวจนาง
ดูสิ น่าเวทนาเพียงใด ผิวกายขาวกระจ่างเปลี่ยนเป็นสีชมพู มุมปากก็มีเลือดออก ดวงตาที่ขาวดำตัดกันชัดเจนของนาง ยามนี้พร่าเลือน รูม่านตาค่อยๆ สูญเสียจุดรวมแสงไป
เขาโค้งริมฝีปากอย่างเยือกเย็น
นัยน์ตาของเด็กสาวสั่นระริก โลหิตไหลลงมาตามมุมปาก
ถานไถจิ้นยื่นนิ้วออกไปด้วยความหวังดี เช็ดคราบเลือดตรงมุมปากนาง
“ท่านดูน่าเวทนาจริงๆ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นและแผ่วเบา
อ้อนวอนเขาอย่างไร้ยางอายเถอะ ควรเผยความอัปยศออกมาได้แล้ว ครั้งนี้นางยืนหยัดได้นานกว่าครั้งก่อนมากทีเดียว
ถานไถจิ้นนับเวลาเงียบๆ ในใจ ในที่สุด เมื่อแววตาของนางว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ เด็กสาวตรงหน้าเขาก็ไม่ดื้อดึงอีก นางขยับตัว ยกแขนเรียวบางขึ้นมา แต่กลับมิได้มากอดเขาอย่างที่ถานไถจิ้นคิด เด็กสาวยกมือขึ้นปิดแก้มของตนเอง
ขนตายาวของนางปิดลง สงบยิ่งกว่าเกล็ดหิมะที่ปลิวโปรยข้างนอก
เด็กสาวพิงกายตรงหน้าต่าง หิมะข้างนอกโปรยปราย นางไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนหลับใหลยาวนานในรัตติกาลเหมันต์ กลายเป็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่หุบปีกอย่างสั่นเทา
โคมแก้วหลิวหลีส่องแสงรอบตัวนาง เกล็ดหิมะปลิวเข้ามา ตกลงบนเส้นผมนาง
เขาเฝ้าดูด้านข้างอย่างเย็นชา มองภาพอันแปลกประหลาดทว่าสูงส่งบริสุทธิ์นี้
ความรู้สึกเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว
นางอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างหิมะกับแสงสว่าง ส่วนเขายังคงอยู่ในความมืดมิดผืนนี้ จู่ๆ เขาก็ชิงชังบุคคลตรงหน้าผู้นี้ยิ่งกว่าเดิม
ถานไถจิ้นใช้นิ้วมือเย็นเฉียบปิดปาก แตกต่างจากความชิงชังดูแคลนในอดีต นี่เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ชำแรกลึกเข้าไปในไขกระดูก ความรู้สึกรังเกียจจนทำให้เขาสั่นสะท้าน
ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกนี้ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนั้นที่รังโจรบนภูเขากระมัง
เด็กหนุ่มกลับไปนั่งตรงมุมห้อง ใช้สายตาเหนียวเหนอะทึบทึมประหนึ่งใยแมงมุมจับจ้องหลีซูซูตลอดทั้งคืน
นางขดตัวอยู่อีกมุม ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย