จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 72-73
เสี่ยวฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา “ฟูเหริน ท่านไม่รู้อะไร หญิงผู้นั้นถูกฝ่าบาทโยนเข้าไปในวังเย็น บ่าวได้ยินว่าพอถึงฤดูร้อน สถานที่แห่งนั้นจะมีทั้งงูหนอนหนูมด ข้าวก็เป็นข้าวบูด ครั้งนี้ฝ่าบาทชิงชังนางโดยสมบูรณ์!”
เยี่ยปิงฉางวางชุดที่ใกล้จะเสร็จลง เหลือบดวงเนตรงดงามขึ้นเอ่ย “ระวังคำพูดด้วย”
เสี่ยวฮุ่ยรีบตบปากตนเอง “ดูปากของบ่าวสิ ฟูเหรินสอนตั้งกี่ครั้งแล้วยังไม่รู้จักจำ ครั้งนี้ฟูเหรินจะเห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้อง เห็นใจนางอีกมิได้เป็นอันขาด!”
เยี่ยปิงฉางพยักหน้า “ไม่แน่นอน น้องหญิงสามคิดจะทำร้ายฝ่าบาท ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตนางก็นับว่าเมตตามากแล้ว”
“บ่าวยังได้ยินมาว่าดวงตาของนางมองไม่เห็นแล้ว”
เยี่ยปิงฉางชะงักไป “อย่างนั้นหรือ”
ตอนบ่ายนางเอาชุดที่ทำเสร็จไปมอบให้ถานไถจิ้น บังเอิญเจอหมอหลวงกำลังตรวจรักษาเขาอยู่
กลิ่นหอมอ่อนจางภายในห้องทำให้เยี่ยปิงฉางสังเกตเห็นบุปผาอมตะดอกนั้นในแวบแรก
บุปผาอมตะใกล้จะบานแล้ว ยามอยู่ใต้แสงแดดดูงดงามไม่เหมือนมวลไม้ใด
ถานไถจิ้นเลี้ยงไว้อย่างนั้น มิได้มีเจตนาจะนำมาใช้ ทุกคนในวังต่างรู้ว่าฝ่าบาทมีดอกไม้นี้อยู่ ต่างพากันคาดเดาว่าฝ่าบาทจะเก็บบุปผาอมตะไว้ให้ใคร
เยี่ยปิงฉางพลันคิดถึงดวงตาที่มองไม่เห็นของน้องหญิงสาม
หากได้บุปผาอมตะ ร่างกายของน้องหญิงสามจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนกระมัง…
ถานไถจิ้นเห็นนาง จึงเอ่ยเสียงเรียบ “มานั่งเถิด”
จากนั้นสองคนทำเหมือนทุกครั้ง เดินหมากด้วยกันหนึ่งกระดาน
เยี่ยปิงฉางเอ่ยด้วยท่าทางลำบากใจ “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันบังอาจขอร้องฝ่าบาทสักเรื่องได้หรือไม่เพคะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางร้องขอบางอย่างกับถานไถจิ้นนับตั้งแต่มาแคว้นโจว
เมื่อคิดถึงเกล็ดป้องหัวใจที่ถูกทำลายไป ถานไถจิ้นพยักหน้าเอ่ย “ว่ามาสิ”
เยี่ยปิงฉางพูด “หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทจะสามารถเสวยกระยาหารกับหม่อมฉันและมารดาสักมื้อได้” เอ่ยจบ นางบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น มองถานไถจิ้นอย่างกระวนกระวาย
ถานไถจิ้นตอบนาง “ตกลง”
เยี่ยปิงฉางยิ้มน้อยๆ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ตำหนักในมีเยี่ยปิงฉางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่มีศักดิ์ฐานะ วันคล้ายวันเกิดของนาง เหล่านางกำนัลย่อมจัดเตรียมงานอย่างพิถีพิถันยิ่ง
นางกำนัลข้างกายหลีซูซูหายไป ในวังเย็นมีเพียงเตียงแข็งกระด้างหลังหนึ่ง ยังมีโต๊ะที่วางป้านชาอีกตัว
หลังจากฟื้นขึ้นมาหลายวัน นางถึงพบว่าตนเองมิอาจใช้พลังวิเศษใดๆ ได้อีกแล้ว ตอนนี้นางไม่แตกต่างอันใดกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่ง
โกวอวี้บอกนางว่ายังคงมีลูกธนูวารีอ่อนในที่ลับนับไม่ถ้วนเล็งมาที่นาง เมื่อใดที่นางคิดหนีออกจากวังหลวงแคว้นโจว ลูกธนูเหล่านั้นจะยิงเข้ามาโดยไม่ลังเล
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าหลีซูซูสูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปหมดสิ้นแล้ว
ทุกวันยามสนธยา นางจะคลำทางเดินออกมา ถึงมองไม่เห็นก็ให้โกวอวี้เอ่ยบอกทาง ขอเพียงนางยังอยู่ในเขตของวังเย็น องครักษ์เยี่ยอิ่งจะไม่ขัดขวางนาง
นางกำนัลหลายคนที่กลับจากซักเสื้อผ้าคุยกันว่า “หลายวันนี้ไฉนในวังจึงคึกคักยิ่งนัก มีเรื่องน่ายินดีอะไรใช่หรือไม่”
“มีแน่นอน อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดของเจาหวาฟูเหริน ตอนนี้ฝ่าบาทโปรดปรานนางเพียงผู้เดียว วันเกิดนาง ฝ่าบาทย่อมให้ความสำคัญ”
“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าบุปผาอมตะที่เสินชาส่งมาให้ก่อนหน้านี้ หมายให้ฝ่าบาทแต่งองค์หญิงของพวกเขา ทว่าล้วนถูกฝ่าบาทปฏิเสธกลับไป มิใช่เพราะเจาหวาฟูเหรินยังจะเพราะใครเล่า หากไม่ติดที่ฐานะของเจาหวาฟูเหริน เกรงว่าฝ่าบาทคงให้นางเป็นฮองเฮานานแล้ว”
พวกนางพูดคุยกันและเดินห่างไปไกล
หลีซูซูยืนอยู่หลังกำแพง รู้สึกถึงความเย็นเยือกของแสงสนธยา สายลมพัดผ่านชายชุดสีน้ำชาของนาง
โกวอวี้พูดอย่างลังเล “เจ้านายน้อย ท่านได้ยินหรือไม่ ถานไถจิ้นมีบุปผาอมตะอยู่ในมือ นั่นเป็นยาวิเศษในโลกมนุษย์ ท่านลองไปขอเขาดูดีหรือไม่ ไม่แน่ดวงตาของท่านอาจจะมองเห็นได้”
หลีซูซูลูบตาข้างซ้ายของตนเอง
นานครู่ใหญ่จึงพยักหน้า “ข้า…อยากจะลองดูสักครั้ง”
นางหวาดกลัวยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่โกวอวี้เห็นนางรับปากไปขอของอย่างหนึ่งจากผู้อื่น โกวอวี้เห็นแล้วปวดใจมาก
วิหคศักดิ์สิทธิ์เกิดมารักอิสระ สถานที่ที่ฟูมฟักนางจนเติบใหญ่คือสระสวรรค์ที่กว้างใหญ่ไพศาลและงดงามเป็นที่สุด
ในห้องลับฮุ่นตุ้นไม่มีเสียง ทั้งยังไม่มีแสงสว่าง นางถูกขังมานานเกินไป บัดนี้กลางคืนตอนนอนนางยังคงสะดุ้งตื่นเป็นครั้งคราว
กระนั้นทิวาราตรี สำหรับหลีซูซูแล้วไม่มีความแตกต่างอันใด โลกของนางมีแต่ความมืดมนเสียแล้ว
บัดนี้เมื่อมีบุปผาอมตะ นางจึงอยากจะลองดู
นางไม่ต้องการชีวิตของถานไถจิ้นแล้ว นางจะคืนสิ่งที่ดียิ่งกว่าให้กับเขา
นางหวาดกลัวเกินไป คิดเพียงต่อให้สุดท้ายต้องตาย ก็ยังอยากเห็นโลกนี้มากกว่านี้หน่อย อย่าปล่อยให้นางตายอยู่ในความมืด
หนึ่งวันก่อนวันคล้ายวันเกิดของเยี่ยปิงฉาง ประจวบเหมาะเป็นวันที่สิบห้าของสองเดือนให้หลังพอดี
ดวงจันทร์แขวนตัวอยู่กลางท้องฟ้า ทอแสงลงมายังวังเย็นที่เงียบเหงาอ้างว้าง
หลีซูซูขดตัวอยู่บนเตียง ตัวสั่นนิดๆ พิษหนอนไหมใยวสันต์ในตัวนางกำเริบอีกแล้ว
หลีซูซูเองก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากสูญเสียพรหมจรรย์ ระยะเวลาที่พิษหนอนไหมใยวสันต์กำเริบจะสั้นกว่าเดิม ตอนนี้เพิ่งจะสองเดือนเท่านั้น พิษหนอนไหมใยวสันต์กลับกำเริบอีกครั้ง
นางกอดตนเองแน่น เหงื่อเปียกเส้นผมบนหน้าผาก หัวสมองยุ่งเหยิงเลอะเลือน นางไม่รู้ว่าตนเองอดทนอยู่นานเพียงใด บางทีอาจแค่หนึ่งชั่วยาม หรือบางทีอาจยาวนานกว่านั้น
ขณะที่นางคิดว่าตนเองกำลังจะตาย สายลมคิมหันต์ยามราตรีพัดเข้ามาจากนอกประตู ลมอุ่นร้อนทำให้สติของนางแจ่มชัดขึ้นชั่วครู่ นางกะพริบดวงตาอันว่างเปล่า
มีคนใช้นิ้วมือเย็นเฉียบเกี่ยวอาภรณ์ด้านหน้าของนางออก หลีซูซูตระหนักเป็นครั้งแรกว่าเมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์ธรรมดา ยาพิษที่ชั่วร้ายอย่างหนอนไหมใยวสันต์มีฤทธิ์มากเพียงใด
นางตัวสั่นพลางขยับเข้าไปใกล้เขา ยามอิงซบอ้อมอกเขา ฤทธิ์ยาที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายนางสงบลงชั่วครู่
เขามองประเมินนางอย่างเย็นชา และทาบกายลงมา
ถานไถจิ้นมิได้จุมพิตนาง เขาลุกล้ำเข้าสู่ร่างกายนางเหมือนกำลังปฏิบัติภารกิจบางอย่าง
หญิงสาวครางเสียงอู้อี้พลางกำผ้าปูเตียงใต้ร่างแน่น
เขายิ้มหยันเอ่ยว่า “เจ้าในตอนนี้ช่างอัปลักษณ์ยิ่งนัก ไม่ชวนให้คนเกิดอารมณ์แม้แต่น้อย”
หลีซูซูเม้มปาก นางผอมมานานแล้ว ใบหน้าที่เดิมยังมีความอวบอิ่มอยู่บ้าง บัดนี้ผอมแห้งจนเรียวแหลม เอวนางเดิมก็แบบบางอยู่แล้ว บัดนี้ราวกับสามารถรวบคว้าได้ด้วยมือเดียว
ภายใต้ฤทธิ์หนอนไหมใยวสันต์ หลีซูซูมิได้รู้สึกไม่สบายตัว กลับเกิดความรู้สึกพึ่งพิงเขา ทว่าหัวใจนางกลับทุกข์ตรมยิ่งนัก มนุษย์มีแปดทุกข์* นางค่อยๆ สัมผัสถึงรสชาติเหล่านี้
แม้แต่เกลียดเขานางยังไม่มีแรง รู้สึกเพียงเหนื่อยล้า เหมือนนักเดินทางผู้หนึ่งที่ได้รับความลำบากจากข้างนอกมามากเกินไป ความทุกข์ทรมานระหว่างการเดินทางค่อยๆ จางหาย เหลือเพียงความคิดถึงบ้านเกิดเท่านั้น
หลีซูซูมองไม่เห็นตนเองในยามนี้ จึงคิดว่าเป็นเช่นที่เขาบอก ‘นางอัปลักษณ์’
นางไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก จึงไม่รู้ว่าความงามอันเปราะบางที่หาได้ยากยิ่งนี้ เมื่ออยู่บนร่างกายนางกลับเพิ่มความตราตรึงชวนให้คนอยากข่มเหงรังแกนางมากยิ่งขึ้น
ดวงตาที่แยกขาวดำชัดเจนของนางสะท้อนเงาของเขา
ถานไถจิ้นรู้ว่ายามนี้นางมองไม่เห็นสีหน้าของตน เขาโน้มกายลงไป ยังคงปกปิดสีหน้าของตนเองไว้ ทั้งที่บอกว่าไม่มีอารมณ์ แต่กลับเคี่ยวกรำนางอยู่ครึ่งค่อนคืน
หลังจากปลดปล่อยแล้ว เขาจะจากไป ทว่ามือเล็กขาวซีดข้างหนึ่งดึงเขาไว้
ถานไถจิ้นหันไปมอง เป็นครั้งแรกที่เห็นแววคาดหวังและว้าวุ่นใจหลายส่วนบนใบหน้านาง
นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายเอ่ยเสียงเบาหวิว “ข้า…จะขอแลกบุปผาอมตะกับเจ้า…ได้หรือไม่”
*แปดทุกข์ในทางพุทธศาสนา ได้แก่ ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย รัก ชัง ไม่สมปรารถนา และขันธ์ห้า