จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 72-73
บทที่ 73
“แลก? เจ้าจะเอาสิ่งใดมาแลก”
หลีซูซูได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของชายหนุ่ม นางมองไม่เห็นสีหน้าเขา ได้แต่เอ่ยตอบว่า “เคล็ดกระบี่ชิงหงได้หรือไม่ ข้าต้องการ…บุปผาอมตะมากจริงๆ ดวงตาของข้าเจ็บมาก”
เคล็ดกระบี่ชิงหงเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่ดีที่สุดในโลก หนึ่งกระบี่ผ่าขุนเขาและสายน้ำได้ เมื่อฝึกสำเร็จสามารถสังหารเซียนขจัดมาร
เคล็ดกระบี่ชิงหงยังเป็นโอกาสอันดีที่สุดที่หลีซูซูได้รับในช่วงร้อยปีของการบำเพ็ญเซียน บัดนี้นางต้องการแลกมันกับการได้เห็นโลกใบนี้อีกครั้ง
“เจ็บ? เคล็ดกระบี่ชิงหง?” เขาเหมือนจะหัวเราะหยันหนึ่งที เจือแววเสียดสีกึ่งหนึ่ง ก่อนจะดึงแขนเสื้อตนเองออก
ถานไถจิ้นมิได้ตอบว่าตกลงหรือไม่ เขาหายลับไปในความมืด
ช่างน่าขันโดยแท้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหลีซูซูขอร้องตน น่าเสียดายข้อแลกเปลี่ยนกลับไม่ถูกใจเอาเสียเลย
ในสายตาของหลีซูซู เขามองเห็นแต่พลังอำนาจ เขาในอดีตก็เป็นเช่นนี้จริงๆ กระนั้นเมื่อนางเอ่ยว่าจะเอาเคล็ดกระบี่ชิงหงมาแลก ในใจเขากลับมีเพียงไฟโทสะ
ถานไถจิ้นกลับมายังตำหนักของตนเอง มีบุปผาอมตะอยู่ ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ
นักพรตเฒ่าในธงกลืนวิญญาณเฝ้ามองบุปผาอมตะอย่างน้ำลายสอ
สำหรับถานไถจิ้น ของสิ่งนี้มิอาจกอบกู้ร่างกายที่ผุพังของเขาได้ ไม่มีประโยชน์อันใด
แต่หากมอบให้นักพรตเฒ่า พลังฤทธิ์ของเขาจะเพิ่มขึ้นถึงหกสิบปี
ดอกตูมของบุปผาอมตะใกล้จะผลิบาน บางทีพรุ่งนี้เช้ามันอาจจะบานสะพรั่ง
นักพรตเฒ่ามองชายหนุ่มในชุดสีนิลอย่างกระตือรือร้น หวังว่าครั้งนี้ฮ่องเต้ผู้ใจกว้างจะมอบของสิ่งนี้เป็นรางวัลให้เขา
ทว่าถานไถจิ้นกลับปิดกล่องดังปับ โยนบุปผาอมตะไว้บนหัวเตียง เขานอนหนุนแขนตนเอง ไม่รู้คิดอะไรอยู่
นักพรตเฒ่ารู้ว่าตนไม่มีหวัง จึงหนีกลับเข้าไปในธงกลืนวิญญาณอย่างห่อเหี่ยว
หลีซูซูขอบุปผาอมตะมาไม่ได้ จึงใช้ผ้าห่มห่อตนเองแน่น
โกวอวี้เกรงว่านางจะกลัว จึงเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยหงฮวงให้นางฟัง
เริ่มจากเหล่าเทพที่มันเคยพบเจอ จนกระทั่งถึงตำนานของปีศาจระดับสูงบางส่วน
เล่าจนถึงตอนท้าย โกวอวี้เห็นดวงตาของหลีซูซูเบิกโตอยู่ตลอด นางกะพริบตา บุปผาเหนือพิภพฝังอยู่ในตาข้างซ้าย โลหิตหลั่งออกมาสายหนึ่ง
เสียงของโกวอวี้พลันชะงัก มันไม่ได้ถามนางว่ากลัวหรือไม่ แต่ถามว่า “ท่านเกลียดพวกเขาหรือไม่”
พวกเขา ถานไถจิ้น เยี่ยปิงฉาง หรือแม้แต่เซียวหลิ่น
การตายของเซียวหลิ่นทำให้นางมิอาจเป็นฝ่ายลงมือกับเยี่ยปิงฉางก่อน นางตกอยู่ในสถานะถูกกระทำ มาจนบัดนี้ โกวอวี้กับหลีซูซูต่างรู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนการของเยี่ยปิงฉาง ผู้คนทั่วหล้าล้วนคิดว่าองครักษ์เฉียนหลงอยู่ในมือหลีซูซู หลีซูซูมาถึงจุดที่ไม่มีทางให้เดินต่อแล้ว
หลีซูซูไม่ตอบอะไร
ยามที่โกวอวี้คิดว่านางคงไม่ตอบแล้ว หลีซูซูกลับขยับปากเอ่ย “เกลียด”
โกวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ตอนถูกขังอยู่ในห้องลับฮุ่นตุ้นตามลำพัง ข้าถึงขั้นคิดว่าต้องทำอย่างไรพวกเขาจึงจะเจ็บปวดมากที่สุด”
นางพูดเสียงเบาต่อ “เยี่ยปิงฉางอยากเป็นฮองเฮา ต้องการความรักที่ซื่อสัตย์จริงใจจากบุรุษผู้หนึ่ง ข้าอยากทำให้นางผิดหวัง ถานไถจิ้นต้องการพลังอำนาจ เขาทำเช่นนี้กับข้า ข้าอยากเห็นเขาจมกองธุลี เซียวหลิ่น…ข้าไม่ควรเกลียดเขา แต่หัวใจข้า ทรมานเหลือเกินจริงๆ
ข้าคิดถึงจุดจบของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงไม่รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนั้น ข้าต่อนิ้วมือให้ตนเอง พยายามกินข้าวให้มากหน่อย ก็เพราะอยากจะเห็นวันนั้น”
ค่ำคืนในเดือนเจ็ดมีฝนตกลงมา วังเย็นทั้งมืดและเงียบงัน นอกจากหลีซูซูแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก
วังเย็นมีเพียงบ่อน้ำเย็นเฉียบ นางชำระล้างร่างกายอ่อนล้าของตนเองอย่างกินแรง
หลีซูซูกลับมาแล้วนอนไม่หลับ หางตานางไม่มีโลหิตหลั่งออกมาอีก บุปผาเหนือพิภพอยู่ในดวงตานางอย่างสงบ
โกวอวี้มองตามดวงตาไร้ประกายของนางไป
ไผ่อ่อนต้นหนึ่งถูกลมพัดจนล้มลงในราตรี
เช้าวันต่อมา บุปผาอมตะผลิบาน
ถานไถจิ้นมองมันอยู่นาน ก่อนจะคว้ากล่องออกจากประตู เพิ่งจะก้าวออกจากประตูตำหนัก เขาก็เห็นเยี่ยปิงฉางที่แต่งกายสีสันสดใสยืนอยู่
เว่ยสี่เอ่ยเสียงค่อย “วันนี้เป็นวันเกิดของฟูเหรินพ่ะย่ะค่ะ ฟูเหรินมายืนรอฝ่าบาทอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”
ดังคาด สายตาของเยี่ยปิงฉางเจือประกายและความคาดหวังอยู่ประปราย
ถานไถจิ้นพลันนึกขึ้นได้ว่าตนเคยรับปากจะกินอาหารกับนางและมารดาของนางมื้อหนึ่ง ฝีเท้าของเขาชะงัก เก็บบุปผาอมตะในแขนเสื้อพลางเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
ใบหน้าของเยี่ยปิงฉางมีแววตกใจระคนยินดีแผ่กระจายจางๆ ราวกับการที่ถานไถจิ้นยังจำสัญญาได้เป็นสิ่งที่ทำให้นางมีความสุขมาก
อวิ๋นอี๋เหนียงไม่ได้พักอยู่ในวัง สองคนนั่งราชรถออกจากวังไป
เยี่ยปิงฉางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากถามมาโดยตลอด ท่านย่า…เป็นอย่างไรบ้าง”
ท้องถนนมีเสียงดังจอแจ ฮ่องเต้หนุ่มหลับตา ตอบนางเสียงเย็น “ตายแล้ว”
เยี่ยปิงฉางสูดหายใจเบาๆ นางหลุบตาลง ท่าทางโศกเศร้าอยู่บ้าง
ถานไถจิ้นพลันนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวในวังเย็นไม่เคยเอ่ยถามคำถามนี้กับตน ไม่รู้เป็นเพราะกลัวจะได้ยินคำตอบนี้หรือไม่
ราชรถจอดบริเวณที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
อวิ๋นอี๋เหนียงทราบอยู่ก่อนแล้วว่าถานไถจิ้นจะมา จึงรีบอุ้มบุตรชายมารอหน้าประตู และค้อมกายคารวะ
เยี่ยปิงฉางประคองมารดาของตนเอง นางหันกลับไป พบว่าสายตาของฝ่าบาทจับอยู่ที่น้องชายคนเล็ก
“เจ้าชื่ออะไร” ถานไถจิ้นถามเขา
เยี่ยปิงฉางมองน้องชาย
คุณชายน้อยสกุลเยี่ยปีนี้อายุแปดขวบ อาจเพราะสองปีนี้เกิดเรื่องราวมากมาย นิสัยเอาแต่ใจในวัยเยาว์ของเขาจึงหายไป ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
น้องชายกับตนหน้าไม่เหมือนกัน กลับดูคล้ายคลึงกับ…น้องหญิงสาม
คุณชายสี่สกุลเยี่ยกลัวถานไถจิ้นหน่อยๆ เขาไหล่สั่นพลางตอบอย่างอึกอัก “อวิ๋นเฟยเฉิน”
ถานไถจิ้นเบนสายตาออกไป เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้น
ในเรือนเตรียมข้าวปลาอาหารไว้ก่อนแล้ว ขันทีที่ตามเสด็จทดสอบอาหารทีละอย่าง จากนั้นทุกคนจึงลงมือกิน
อาหารมื้อนี้อวิ๋นอี๋เหนียงกินอย่างหวาดหวั่น มองทรราชผู้มีใบหน้าคมคายแล้ว นางอดตำหนิบุตรสาวมิได้ว่าไฉนจึงต้องพาคนมาที่นี่ด้วย
ความรู้สึกที่อวิ๋นอี๋เหนียงมีต่อถานไถจิ้นผสมปนเป แต่ก่อนเขาเป็นที่ข่มเหงรังแกของทุกคน บัดนี้เห็นเขาแล้ว แม้แต่ลมหายใจยังต้องผ่อนให้เบาลง
ไม่ง่ายเลยกว่าอาหารมื้อนี้จะผ่านพ้นไป ในที่สุดอวิ๋นอี๋เหนียงก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเยี่ยปิงฉางตามลำพัง
“ฉางเอ๋อร์ เจ้าต้องพยายามหน่อยนะ ได้ยินว่าตำหนักในของฝ่าบาทมีเจ้าเพียงผู้เดียว เจ้ารีบตั้งครรภ์มังกรเสีย ฐานะย่อมมั่นคง”
เยี่ยปิงฉางสีหน้าสับสน ทว่ากับมารดานางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง “จวบจนบัดนี้ฝ่าบาทยังไม่เคยแตะต้องข้าเลย”
อวิ๋นอี๋เหนียงเบิกตาโต “จะ…จะเป็นไปได้อย่างไร ข้างนอกต่างลือกันว่าฝ่าบาทโปรดปรานเจ้ายิ่งนัก”
เยี่ยปิงฉางคลี่ยิ้มเย็นชา นางนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จไปที่ใด จึงหลับตาลงเอ่ยอย่างอดกลั้น “ท่านแม่ ยังมีเวลาอีกมาก”