จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 72-73
ระหว่างทางกลับวัง ลูกธนูสีฟ้าแหวกฝ่าอากาศมากะทันหัน
องครักษ์เยี่ยอิ่งมือไวตาเร็วสกัดไว้ได้ไม่น้อย แต่ยังมีลูกธนูดอกหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในราชรถ เยี่ยปิงฉางขวางหน้าถานไถจิ้นไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฝ่าบาทระวัง!”
ลูกธนูปักลึกเข้ามาในไหล่นางทันที
ถานไถจิ้นขมวดคิ้วประคองนางไว้ “ปิงฉาง?”
โลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเยี่ยปิงฉาง นางเจ็บจนร่างกายเกร็งกระตุก
กำลังทหารจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ปรากฏตัวทันใด มุมปากของถานไถจิ้นยกยิ้มเย็นชา “รนหาที่ตาย”
ปีศาจเสือที่เร้นกายอยู่ในที่ลับกระโจนออกมา ร่างกายขยายใหญ่ในพริบตา จู่โจมไปยังกลุ่มคนที่ดักซุ่มอยู่
ผ่านไปไม่นานเนี่ยนไป๋อวี่ก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท มีจำนวนทั้งสิ้นแปดสิบสามคน ล้วนเป็นองครักษ์เฉียนหลง ทั้งหมดกินยาพิษฆ่าตัวตายแล้ว”
ดวงตาของถานไถจิ้นทอประกายวับวาว เหลือบมองเยี่ยปิงฉางที่เจ็บหนักแวบหนึ่ง เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ
“กลับวัง!”
ดังคาด เพิ่งถึงประตูวัง เนี่ยนมู่หนิงก็รีบออกมารับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ฝ่าบาท วังเย็นถูกจู่โจม องครักษ์เฉียนหลงมาช่วยคน”
“แล้วนางล่ะ!”
“ภายใต้ลูกธนูวารีอ่อน องครักษ์เฉียนหลงตายไปสามร้อยกว่าคน หนีไปได้เล็กน้อย คุณหนูสามสกุลเยี่ยยังอยู่ในวังเย็น องครักษ์เฉียนหลงไม่สามารถพาคนไปได้”
แววตาของถานไถจิ้นเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง เขาอุ้มเยี่ยปิงฉางที่เจ็บหนักและสั่งว่า “ตามหมอหลวง”
“ฟูเหรินบาดเจ็บสาหัส เสียเลือดมากเกินไป อาการเช่นนี้…เกรงว่าคงต้องมีโอสถทิพย์ มิเช่นนั้นแล้ว บาดแผลจะต้องทิ้งโรคเรื้อรังไว้ในร่างกายแน่นอน”
ชายหนุ่มในชุดสีนิลเงียบงันเนิ่นนาน พลันหัวเราะออกมาอย่างเสียดสี
“ไม่ทราบว่าบุปผาอมตะใช้ได้หรือไม่”
หลีซูซูรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
ตั้งแต่ลูกธนูวารีอ่อนยิงเข้ามาพร้อมกัน นางก็คาดเดาทุกอย่างได้แล้ว
นางนั่งอยู่บนธรณีประตู ฟังโกวอวี้พูดอย่างอัดอั้น “คราวนี้ต่อให้ชี้แจงด้วยเหตุผลก็ฟังไม่ขึ้นแล้วจริงๆ”
องครักษ์เฉียนหลงตั้งมากมายเสี่ยงชีวิตมาช่วยนางออกไป ย่อมไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่าองครักษ์เฉียนหลงไม่ได้อยู่ในมือหลีซูซู
สายลมคิมหันต์พัดผ่าน พาให้ชายชุดสีน้ำชาของหญิงสาวพลิ้วไหว
หลีซูซูไม่สบายใจอย่างยิ่ง เดิมทีถานไถจิ้นเกลียดนางอยู่แล้ว เกลียดที่สุดคือการที่นางทรยศและหลบหนี
บัดนี้ในสายตาเขาคือนางคิดจะหนีไปอีกแล้ว
เขายังจะมอบบุปผาอมตะให้นางหรือ น่ากลัวว่าตอนนี้ถานไถจิ้นคงอยากให้นางเป็นคนตาบอดที่ถูกเขากักขังไปชั่วชีวิต ทุกๆ วันที่สิบห้าจะต้องหอบครางปนสะอื้นอยู่ใต้ร่างเขา
หลีซูซูอยากรอเขา แม้จะเพียงเพื่อมิให้ตนเองต้องตายอยู่ในความมืดมนในช่วงสุดท้ายของชีวิต นางก็ยินดีอธิบายเรื่ององครักษ์เฉียนหลงให้ถานไถจิ้นฟัง
ไม่รู้นั่งอยู่นานเพียงใด ในโลกของหลีซูซู กลางวันกับกลางคืนไม่มีอะไรแตกต่างกัน
นานจนนางกำนัลที่ส่งอาหารมาแล้ว ถานไถจิ้นก็ยังคงไม่มา
นางกำนัลเห็นหลีซูซูยังคงมองออกไปข้างนอก จึงวางชามกับตะเกียบลง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น ยังจะมองอะไรอยู่ได้ ไม่รู้ไฉนข้าจึงโชคร้ายเช่นนี้ ต้องถูกส่งมาทำหน้าที่ส่งข้าวให้เจ้า วันนี้เป็นวันเกิดของเจาหวาฟูเหริน ฝ่าบาททรงอภัยโทษทั่วหล้า กลับมีแต่ข้าที่ต้องมาเยือนสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้ นี่! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ เจ้าทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอะไร”
ผู้คนในวังชินกับการยกย่องผู้สูงส่ง เหยียบย่ำผู้ต่ำต้อย เมื่อคืนตอนถานไถจิ้นมาที่นี่ ไม่มีใครรู้ หลีซูซูอยู่ในวังเย็น คนในวังย่อมดูแคลนนางเป็นเรื่องธรรมดา นางกำนัลมองหลีซูซูที่ไม่สะทกสะท้านด้วยความโมโห หญิงสาวที่ผ่ายผอมดูขาวซีดอ่อนแอ ดวงตาไร้ประกาย คนที่เคยสูงส่งในวันวานกลับตกต่ำจนมีสภาพเช่นนี้ ชวนให้คนบังเกิดความสะใจและความคิดชั่วร้ายไม่สิ้นสุด นางกำนัลเห็นนางผิวขาวกระจ่างนุ่มเนียน ก็ยกมือขึ้นทำท่าจะหยิกหลีซูซู
กระบี่ไม้เล่มหนึ่งแทงเข้าไปในฝ่ามือนางกำนัล นางกำนัลร้องเสียงแหลม ทรุดนั่งกับพื้น
“เจ้า…เจ้า!”
กระบี่ไม้ถูกหลีซูซูกำไว้แน่น นางกำนัลเหลือบมองหลีซูซูอย่างกระวนกระวาย เดิมคิดว่าเป็นหญิงตาบอดผู้หนึ่งที่รังแกง่าย ไม่คิดว่ากลับเป็นคนร้ายกาจที่ไม่ยอมถูกข่มเหง
นางกำนัลลุกขึ้นมา ถลึงตาใส่หลีซูซูอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคงมิได้คิดจริงๆ กระมังว่าตนเองยังจะโผบินสู่ยอดไม้ได้! ข้าจะบอกให้ว่านางในดวงใจของฝ่าบาทคือใคร ทุกคนในวังต่างรู้ว่าแม้แต่บุปผาอมตะที่แคว้นเสินชาส่งมาให้ ฝ่าบาทยังมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดของเจาหวาฟูเหรินอย่างง่ายดาย! เจ้านับเป็นตัวอะไร รอแก่ตายอยู่ที่นี่เถอะ!”
เมื่อพูดจบนางก็วิ่งจากไปทันที
“บุปผาอมตะไม่อยู่แล้ว…” หลีซูซูพึมพำ
โกวอวี้คิดถึงความเจ็บปวดจากผลสะท้อนของบุปผาเหนือพิภพที่นางต้องทนรับทุกวันทุกคืน ในโลกมีเพียงความมืดมิด หัวใจของมันก็เหมือนถูกมีดกรีดเถือ
หลีซูซูเหมือนเด็กน้อยที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ความหวังบนใบหน้าค่อยๆ ดับมอดไป
โกวอวี้ไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร กลับเห็นหลีซูซูลุกขึ้นยืน นางหันหน้าไปยังดวงตะวันตรงขอบฟ้าที่ลาลับไป
โกวอวี้อดพูดมิได้ “ในใจของพญามาร คนที่เขารักต้องเป็นท่านแน่นอน! เจ้านายน้อย พวกเราต่างรู้ว่านี่เป็นแผนการของเยี่ยปิงฉาง”
หลีซูซูไม่ได้ยินคำพูดของมัน นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าคิดผิดเสียแล้ว โง่งมถึงขั้นไปขอร้องเขา”
นางกุมดวงตาของตนเอง โลหิตไหลคดเคี้ยวลงมาตามฝ่ามือนาง โกวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ข้าถึงขั้นรู้สึกหวั่นไหวไปชั่วขณะหนึ่ง”
สุ้มเสียงของนางเบามาก เมื่อสายลมคิมหันต์พัดผ่านมา ก็สลายไปท่ามกลางราตรี
แต่โกวอวี้รู้ว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด
หลีซูซูเคยรู้สึกลังเล ตอนได้รับผ้าคลุมศีรษะสีแดงผืนนั้น มันเคยหันกลับไปมอง เวลานั้นดวงตาของหญิงสาวเจือแววขัดแย้งโดยที่นางเองก็ไม่ตระหนัก
มนุษย์หาใช่ต้นไม้ใบหญ้า ผู้ใดเล่าจะไร้รัก
นางเกิดมาด้วยร่างทิพย์ ไม่เคยกล้าลืมว่าตนเองมาที่นี่เพราะเหตุใด นางเคยเห็นสรรพชีวิตในสามพิภพดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดอย่างยากลำบากภายใต้กรงเล็บของมารปีศาจ ทะเลอุดรเหือดแห้ง เขาทักษิณพังถล่ม โลกมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์เข็ญทั่วทุกแห่งหน
ในยามนั้นโกวอวี้ตระหนักถึงความรู้สึกของนางรางๆ จึงได้ไม่สบายใจ
ชั่วขณะที่ตะปูศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างครบเก้าดอก มันกลัวเหลือเกินว่าหลีซูซูจะทำไม่ลง แต่โชคดีที่นางมิได้ละเลยสรรพชีวิต นางตอกตะปูเก้าดอกเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่มชุดสีนิล
นางมิกล้าหวั่นไหว
ภารกิจล้มเหลวแล้ว แต่กลับมีข้อดีอย่างหนึ่ง…หลีซูซูคิดวิธีสุดท้ายออก
วิธีที่อาศัยตะปูศักดิ์สิทธิ์หกดอกที่ตอกเข้าไปแล้ว
ในที่สุดหลีซูซูก็ไม่ต้องฆ่าถานไถจิ้นอีก ทว่า…เขากลับขังหลีซูซูไว้ในที่มืดตลอดกาล ดับขยี้ความหวังสุดท้ายของนางด้วยมือของเขาเอง
หลีซูซูลุกขึ้น โกวอวี้ได้ยินนางพูดว่า “ได้ยินว่าฤดูหนาวของแคว้นโจวไม่มีหิมะ รอให้ถึงวันหยินยามหยิน* พวกเราไปกันเถอะ โกวอวี้ เจ้ากลัวหรือไม่”
โกวอวี้อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “โกวอวี้ไม่กลัว”
มันเข้าใจว่าหลีซูซูจะทำอะไร
นางจะไปจากเขาตลอดกาล ไปจากสถานที่ที่กักขังนางไว้แห่งนี้ ไปจากโลกเมื่อห้าร้อยปีก่อน
ตอนเกิดอสนีสวรรค์ในปัวเหร่อฝูเซิง หมิงเยี่ยเปลี่ยนไขกระดูกเทพให้ซังจิ่ว วันหยินยามหยินก็สามารถชักนำให้เกิดอสนีสวรรค์ได้เช่นกัน
นางจะจำลองบุปผาเหนือพิภพเป็นไขกระดูกเทพ ถ่ายวิญญาณเซียนของตนเข้าไป ใช้โกวอวี้เก้าชั้นฟ้าเป็นสื่อกลาง เปลี่ยนให้มันกลายเป็นไขกระดูกเทพอย่างแท้จริง
ใช้ไขกระดูกเทพแลกกับกระดูกมาร
* วันหยินยามหยิน เป็นการคำนวณวันและเวลาโดยใช้แผนภูมิกิ่งฟ้าก้านดินมาประกอบเป็นระบบการนับวันเดือนปีและเวลาด้วยฐานเลขหกสิบ โดยแผนผังกิ่งฟ้าประกอบด้วยสิบอักษร ในสิบอักษรนี้จะมีห้าอักษรเป็นธาตุหยินและห้าอักษรเป็นธาตุหยาง แผนผังก้านดินประกอบด้วยสิบสองอักษร มีหกอักษรเป็นธาตุหยินและหกอักษรเป็นธาตุหยาง อักษรในแผนภูมิกิ่งฟ้าก้านดินทั้งหมดจัดเรียงเป็นคู่ได้หกสิบชุด วันหยินยามหยิน หมายถึงวันและเวลาที่เกิดจากการจับคู่อักษรในกิ่งฟ้าก้านดินที่เป็นธาตุหยินทั้งหมด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.