จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 74-75
บทที่ 74
ตั้งแต่ย่างเข้าฤดูสารท อากาศของแคว้นโจวยังคงอบอุ่น
เวลาท้องฟ้าปลอดโปร่ง หลีซูซูจะคลำทางเดินไปมาในวังเย็น ในวังเย็นไม่มีอะไรเลย พลังเทพของบุปผาเหนือพิภพในโลหิตนางลดน้อยลงทุกที
โกวอวี้กลายเป็นดวงตาของนาง คอยชี้บอกทาง ป้องกันไม่ให้นางสะดุดหกล้ม
บุปผาเหนือพิภพกร่อนทำลายร่างกายของนาง ทำให้นางผ่ายผอมลงเรื่อยๆ บัดนี้ชุดชาววังสีชมพูที่สวมอยู่บนร่างหลวมเล็กน้อย เอวนางแบบบางกว่าเดิม
ในวังมีต้นหลิวมากมาย ยามว่างหลีซูซูจะเดินออกจากลานเรือนของวังเย็น ไปหักกิ่งหลิวมาหลายกิ่ง กลับมาแล้วเหลาให้แหลมและใช้กิ่งหลิวตั้งข่ายอาคม
การสร้างไขกระดูกเทพที่แท้จริง นางต้องถ่ายไอหยินให้กับบุปผาเหนือพิภพ
ไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญหรือไม่ ทุกครั้งยามโพล้เพล้เวลานางไปหักกิ่งหลิว มักพบนางกำนัลปากเปราะในวัง พูดคุยกันถึงเจาหวาฟูเหรินที่หมู่นี้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาททรงดีกับเจาหวาฟูเหรินเกินไปแล้วกระมัง ได้ยินว่าหลายวันนี้ข้าวของที่ส่งไปยังวังของฟูเหรินมีมากมาย”
“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตอนเจาหวาฟูเหรินป่วย ฝ่าบาทเป็นคนดูแลฟูเหรินด้วยองค์เอง”
“สองสามวันก่อนเสี่ยวซุ่นจื่อกระทำผิด ฝ่าบาทกริ้วจัด แต่พอเจาหวาฟูเหรินขอความเมตตา ฝ่าบาทก็หายกริ้วทันที”
“แม้แต่ของล้ำค่าที่แคว้นเสินชาส่งมา ฝ่าบาทยังนำมาเอาอกเอาใจเจาหวาฟูเหรินเลย!”
เสียงพูดคุยหัวเราะของพวกนางทะลุผ่านกำแพงเข้ามาในวังเย็น ลอยเข้ามาในโลกอันมืดมนของหลีซูซู
จากนั้นหลีซูซูได้ยินพวกนางพูดถึงตนเช่นกัน…
“เช่นนั้นพวกเจ้าว่าฝ่าบาททรงคิดอย่างไรกับสตรีในวังเย็นผู้นี้”
“นางน่ะหรือ ได้ยินว่าแต่ก่อนตอนอยู่แคว้นซย่าฝ่าบาทก็เกลียดนางเข้ากระดูกดำแล้ว บัดนี้เก็บนางไว้ก็เพื่อทรมานนางเท่านั้น”
“แต่ก่อนหน้านี้นางเกือบจะได้เป็นฮองเฮานะ”
มีคนแค่นหัวเราะ “ตอนนี้ดวงตานางบอดไปแล้ว หากฝ่าบาทโปรดนางจริง ไยจึงไม่มอบของล้ำค่าจากแคว้นเสินชาให้นางเล่า ข้าว่านะ ฝ่าบาทชิงชังนางยิ่งกว่าอะไร”
หลีซูซูถือกิ่งหลิว ไม่รู้คิดอะไรอยู่
สายลมสารทพัดชุดกระโปรงสีเรียบสะอาดสะอ้านของนางปลิวขึ้น นางคลำกำแพงวัง เดินกลับไปช้าๆ
กิ่งหลิวสามารถชักนำไอหยินได้ นางนั่งขัดสมาธิ ชักนำไอหยินในวังเย็นเข้าสู่บุปผาเหนือพิภพในดวงตาข้างซ้าย
ไอหยินเข้าสู่ร่าง ทำให้นางหนาวจนตัวสั่น ผิวกายขาวซีด
วันแล้ววันเล่า หลีซูซูค่อยๆ ชิน เมื่อไอหยินเข้าสู่บุปผาเหนือพิภพ ดวงตานางก็ไม่หลั่งโลหิตบ่อยๆ อีก
นางรู้ว่าตนเองใกล้จะหลุดพ้นแล้ว
ค่ำคืนวันหนึ่ง หลีซูซูนั่งซักชุดกระโปรงของตนเองอยู่ริมบ่อน้ำ
โกวอวี้พลันเอ่ยว่า “เขามา”
หลีซูซูชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะซักเสื้อผ้าต่อ
ถานไถจิ้นมาอย่างเงียบเชียบ เขามิได้ให้ใครตามมา ทั้งมิได้ถือโคมแก้วหลิวหลี เพียงมองดูนางจากที่ไกลๆ
ฮ่องเต้ในอาภรณ์สีนิลมองหญิงสาวที่ผ่ายผอมซักเสื้อผ้าจนเสร็จ และอุ้มถังไม้เดินผ่านหน้าเขาไป
ภายในวังเย็นเงียบเชียบและมืดมิด นางคล้ายจะคุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว ไม่ต้องให้ใครประคอง ก็เดินผ่านริมบ่อน้ำไปได้อย่างคล่องแคล่ว
สีหน้าของนางสงบนิ่ง นัยน์ตาที่ขาวดำตัดกันชัดเจนคู่นั้นดูไม่เหมือนมองไม่เห็นแม้แต่น้อย
หญิงสาวราวกับไม่ตระหนักถึงตัวตนของเขา ครั้นเห็นนางกำลังจะเดินเข้าไปในเรือน ถานไถจิ้นก็เดินตามไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เมื่อตระหนักว่าตนเองกำลังทำอะไร เขาก็ชะงักฝีเท้าและหันหลังจากไป
โกวอวี้พูดขึ้น “เขาจากไปแล้ว”
หากไม่เพราะมีโกวอวี้ หลีซูซูคงไม่รู้เลยว่าเขามา
ตะปูดับวิญญาณหกดอกปักอยู่ในหัวใจเขา เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนเย็นชาถึงในกระดูกโดยสมบูรณ์ หากจะยังมีช่วงเวลาที่เขาขาดการควบคุมอยู่บ้าง คงเป็นตอนที่พิษหนอนไหมใยวสันต์ของหลีซูซูกำเริบทุกสองเดือน
ช่วงเวลาที่คลอเคลียกัน เขามักจะแค่นยิ้มพลางบีบให้นางอ้อนวอนเขาให้มอบความสุขให้นาง
ยามที่ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกัน เขาเสียการควบคุมเป็นบางครั้ง มักอดใจไม่อยู่มองนางอย่างเหม่อลอย ทว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่สั้นๆ หลังจากนั้นถานไถจิ้นจะคืนสู่ความร้ายกาจดังเดิม
เวลาเขามา หลีซูซูจะทำเป็นไม่รู้ ควรทำสิ่งใดก็ทำต่อไป
หากบอกว่าก่อนหน้าเหตุการณ์บุปผาอมตะนางยังมีความหวังกับเขาอยู่บ้าง บัดนี้ในใจก็มีแต่ความเหี่ยวเฉาว่างเปล่า ปราศจากท่าทีของสิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง
นางแค่นับวันรอให้วันหยินยามหยินมาถึง
เดือนสิบเอ็ด อีกไม่นานวังหลวงจะมีงานเลี้ยง ร่างกายของเยี่ยปิงฉางฟื้นฟูพอสมควรแล้ว หลังจากบุปผาอมตะเข้าสู่ร่างกาย บาดแผลของนางก็ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย
เสี่ยวฮุ่ยสางผมแต่งตัวให้นาง มองสตรีที่งามเฉิดฉันในคันฉ่องแล้วอดอุทานด้วยความชื่นชมมิได้ “ฟูเหรินงามขึ้นทุกวัน ผู้ใดจะคิดว่าบุปผาอมตะจะรักษาได้แม้กระทั่งโรคเรื้อรังของฟูเหริน”
เยี่ยปิงฉางในตอนนี้ปากแดงฟันขาว นางลูบดวงหน้าของตนเอง เผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมา
เสี่ยวฮุ่ยพูดอย่างเบิกบาน “หมู่นี้ฝ่าบาททรงยุ่งกับการกวาดล้างพรรคพวกที่เหลืออยู่ขององค์ชายแปด อีกไม่นานแคว้นโจวก็จะสงบสุขโดยสมบูรณ์ ฟูเหรินทราบหรือไม่ อีกไม่กี่วันวังหลวงจะมีงานเลี้ยง อันที่จริงวันนั้นยังเป็นวันพิเศษวันหนึ่งด้วย”
“วันพิเศษอะไรหรือ”
เสี่ยวฮุ่ยขยับเข้าไปข้างหูเยี่ยปิงฉาง กระซิบเบาๆ หลายประโยค ใบหน้าของเยี่ยปิงฉางแดงเรื่อทันใด นางมองเสี่ยวฮุ่ยแวบหนึ่งด้วยสายตาตำหนิ
เสี่ยวฮุ่ยพูด “บ่าวมิได้พูดผิดนะเจ้าคะ ใครๆ ต่างบอกว่าขอบุตรวันนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ผู้คนในแคว้นโจวต่างเชื่อเรื่องนี้ บัดนี้ร่างกายของฟูเหรินหายดีแล้ว ขอเพียงถึงเวลารั้งตัวฝ่าบาทไว้ให้ได้ ปีหน้าจะต้องให้กำเนิดองค์ชายน้อยแน่ๆ”
เยี่ยปิงฉางว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ช่างพูดมากนัก เป็นข้าที่คิดการไม่รอบคอบ ควรจะส่งเจ้าออกเรือนไปนานแล้ว!”