จันทราอัสดง
ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 74-75
ก่อนงานเลี้ยงในวังจะเริ่มขึ้น เสี่ยวฮุ่ยแต่งองค์ทรงเครื่องให้เยี่ยปิงฉางอย่างพิถีพิถัน
เยี่ยปิงฉางไปหาถานไถจิ้น ทว่าพวกนางไปไม่ถูกจังหวะ ถานไถจิ้นยังมิได้ไปที่งานเลี้ยง แต่กลับนั่งอยู่ใต้ต้นเหมยพูดคุยกับคนผู้หนึ่ง
เยี่ยปิงฉางมองดู เหมือนจะเป็นใต้เท้าผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่ไล่ล่าองค์ชายแปด ถานไถจิ้นให้ความสำคัญกับขุนนางมากความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร ใต้เท้าผู้นี้ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ดูแล้วถานไถจิ้นมีใจจะบ่มเพาะเขาเป็นขุนนางคนสนิท
เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลาทีเดียว ราวครึ่งเดือนก่อนเยี่ยปิงฉางเคยพบใต้เท้าผู้นี้ ดูเหมือนจะแซ่ฉี
ยามนั้นใต้เท้าฉีดูองอาจผ่าเผย ทว่าบัดนี้บุรุษในชุดขุนนาง ดวงตากลับมีแต่ความหม่นหมองทุกข์ตรม
ถานไถจิ้นมองฉีโม่อย่างเย็นชา “เจ้าคิดดีแล้วหรือ จะลาออกจากการเป็นขุนนาง?”
ฉีโม่โขกศีรษะ “กระหม่อมผิดต่อพระเมตตาของฝ่าบาท” เขาถอดหมวก ริมฝีปากไม่หลงเหลือเลือดฝาดแม้แต่น้อย
ถานไถจิ้นเห็นว่ามิอาจรั้งคนไว้ได้ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไสหัวไปเถอะ”
ฉีโม่ลุกขึ้นเดินจากไป ตอนผ่านเยี่ยปิงฉางไม่แสดงท่าทีใดๆ เหมือนศพเดินได้กระนั้น
ถานไถจิ้นลุกขึ้นเดินไปงานเลี้ยง เยี่ยปิงฉางเห็นเขาไม่เอ่ยอะไร จึงได้แต่ตามหลังเขาไปเงียบๆ
ท่ามกลางเสียงเครื่องเป่าและเครื่องสาย ชายหนุ่มในชุดสีนิลเท้าคาง มองการร่ายรำภายในงานด้วยสายตาเย็นชา
เยี่ยปิงฉางร้องเรียกเขาสองครั้ง ถานไถจิ้นล้วนไม่ตอบสนอง นางจึงรู้ว่าความคิดจิตใจของถานไถจิ้นมิได้อยู่ตรงนี้
เป็นเพราะใต้เท้าฉีผู้นั้นหรือ นางคิดในใจ ใต้เท้าฉีผู้นั้นพูดอะไรบ้างกันแน่
ในใจนางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี วันนี้นางตั้งใจแต่งตัวอย่างพิถีพิถันยิ่ง ตอนออกจากประตูเสี่ยวฮุ่ยบอกว่านางงามยิ่งกว่าบุปผา แม้แต่เครื่องหอมบนเสื้อผ้า นางยังเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี
เยี่ยปิงฉางมาแคว้นโจวได้ครึ่งปีแล้ว แม้ทุกคนในวังต่างบอกว่านางเป็นที่โปรดปราน แต่ความจริงเป็นอย่างไรนางย่อมรู้ดีกว่าใคร นางกลัวว่าคืนนี้ยังคงรั้งตัวถานไถจิ้นไว้ไม่ได้ อีกทั้งทรราชผู้นี้ไหวพริบเฉียบไวจิตใจโหดเหี้ยม หากไม่มั่นใจ นางไม่กล้าใช้ลูกไม้กับเขาแม้แต่น้อย
ถานไถจิ้นไม่รู้ว่าเยี่ยปิงฉางที่นั่งอยู่เบื้องล่างคิดอะไรอยู่ น้อยครั้งจริงๆ ที่เขาจะจิตใจไม่อยู่กับตัวเช่นนี้
คำพูดของฉีโม่ที่มาขอลาออกจากการเป็นขุนนาง ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว
เขามีกฎเกณฑ์ของเขา ฉีโม่เข้ามามีส่วนร่วมในแผนการต่างๆ ของเขามากเกินไป บัดนี้คิดจะถอนตัว ไม่ตายก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ครึ่งหนึ่ง ทว่าฉีโม่กลับละทิ้งโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ ยืนกรานขอลาออกจากการเป็นขุนนาง
ไม่ ควรบอกว่าเขาลาออกด้วยจิตใจที่ตายไปแล้วมากกว่า
เรื่องราวของฉีโม่ ถานไถจิ้นรู้เป็นอย่างดี เพราะการที่เขาจะใช้คนผู้หนึ่ง ย่อมต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของคนผู้นั้นก่อนจึงจะไว้ใจได้
หนึ่งปีก่อนตอนซย่าโจวสองแคว้นยังทำสงครามกันอยู่ ฉีโม่ยังเป็นเพียงนายกองตำแหน่งเล็กๆ ผู้หนึ่ง เขาสร้างความดีความชอบไม่น้อย มีผลงานการศึกอันโดดเด่นในสมรภูมิ
สงครามที่ชังโจว ฉีโม่นำทหารไปริบทรัพย์บ้านหลังหนึ่งและฆ่าคนทั้งตระกูล สุดท้ายกลับแอบซุกซ่อนคุณหนูห้าของบ้านนั้นไว้
ฉีโม่หลงรักนางตั้งแต่แรกพบ แม่นางผู้นั้นนิสัยแข็งกร้าว คิดจะฆ่าฉีโม่ตลอดเวลา เพื่อล้างแค้นให้ตระกูล
ในดวงตาของหญิงสาวไม่มีคำว่า ‘สงคราม’ นางเห็นเพียงบุรุษที่เหมือนอสุรกายผู้นี้สังหารคนในครอบครัวนางจนหมด ทั้งยังฉุดคร่านางไป
สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลที่สุดคือ ก่อนที่ฉีโม่จะพบกับนาง เขามีครอบครัวอยู่แล้ว
คุณหนูห้าสกุลเสิ่นพยายามฆ่าฉีโม่หลายครั้ง แต่สุดท้ายล้วนถูกเขาจับได้ นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง สุดท้ายถูกฉีโม่ใช้กำลังบังคับรับเป็นอนุ ฉีโม่ลงมือรวดเร็วฉับไว คุณหนูห้าสกุลเสิ่นขัดขืนหลายครั้ง จงใจก่อความวุ่นวายภายในเรือน เขาสงสารนาง แต่ก็อดโมโหมิได้
ฮูหยินผู้เฒ่าฉีไม่ชอบนางจิ้งจอกที่ทำให้บุตรชายตนหลงหัวปักหัวปำผู้นี้เช่นกัน ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนฉีโม่ไม่อยู่ ร่วมมือกับภรรยาเอกของฉีโม่ กลั่นแกล้งทรมานคุณหนูห้าสกุลเสิ่น
ฉีโม่ถูกคุณหนูห้าสกุลเสิ่นปฏิเสธหลายครั้งหลายหน จึงตัดสินใจมองดูอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา เวลาผ่านไปนานเข้า เขาพบว่าหนามแหลมบนตัวคุณหนูห้าสกุลเสิ่นหายไป นางโอนอ่อนและเชื่อฟังเขา ยิ้มแย้มกับเขา
เรื่องนี้ทำให้ฉีโม่ดีใจอยู่พักหนึ่ง รักใคร่ตามใจคุณหนูห้าสกุลเสิ่นมากกว่าเดิม ค้างคืนที่ห้องนางทุกวัน นางอยากได้สิ่งใดก็หามาให้ทั้งหมด ปีนี้นางยังให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่งแก่ฉีโม่
ทุกอย่างดูงดงามบริบูรณ์เหลือเกิน จวบจนเมื่อคืนฉีโม่รับคำสั่งไปกวาดล้างทหารกบฏขององค์ชายแปด คุณหนูห้าสกุลเสิ่นได้วางเพลิงเผาตนเองกับลูกชายที่ยังเล็ก รวมถึงมารดาบังเกิดเกล้าและภรรยาเอกของฉีโม่ที่ถูกขังอยู่ในบ้านด้วย
บุคคลใกล้ชิดของฉีโม่ตายไปทั้งหมด คุณหนูห้าสกุลเสิ่นทำให้เขาได้สัมผัสกับคำว่า ‘บ้านแตกสาแหรกขาด’
หัวใจของฉีโม่เหมือนตายไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นขุนนาง
ถานไถจิ้นดูออกว่าขุนนางที่ฝีมือไม่เลวผู้นี้ ดวงตาปราศจากชีวิต ต่อให้ตนไม่ลงมือ ฉีโม่ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นฤดูหนาวปีนี้
เขาทนฟังเสียงดนตรีบรรเลงต่อไปไม่ไหว ตะปูดับวิญญาณในหัวใจเริ่มเจ็บแปลบอีกครั้ง เขาลูบตำแหน่งหัวใจของตนเอง เรื่องราวของอนุของฉีโม่ ทำให้เขาไม่สบายใจอย่างไร้สาเหตุ
เขาลุกขึ้นยืนทันใด อยากพบหญิงสาวที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำผู้นั้นเหลือเกิน
เยี่ยปิงฉางอดพูดมิได้ “ฝ่าบาท! งานเลี้ยงยังไม่…”
เขาไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย เอ่ยเสียงเรียบว่า “งานเลี้ยงจบแล้ว เจ้าก็กลับเองเถอะ เรามีธุระ”
เยี่ยปิงฉางได้แต่เฝ้ามองฮ่องเต้ในชุดสีนิลจากไปโดยมิอาจทำอะไรได้ นางจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือ
ถานไถจิ้นเดินมาถึงวังเย็น เสียงเครื่องเป่าและเครื่องสายห่างออกไปนานแล้ว เขารู้ว่ายังไม่ถึงวันที่สิบห้า ตนไม่ควรมาที่นี่ เขาเคยพูดไปแล้วว่าจะไม่เกิดความรู้สึกใดๆ กับนางอีก
เขายกมือขึ้น และวางลง
ถานไถจิ้นเป็นองค์ชายของแคว้นโจว ย่อมรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันอะไร ฮ่องเต้จะอยู่กับคนที่ตนรัก อธิษฐานขอบุตรในวันนี้
เขาไม่ควรมาที่นี่ ชายหนุ่มพลันมีสีหน้าเยียบเย็น หันหลังกลับตำหนักของตนเอง
ฉีโม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้ เพราะตัวเขาเองไม่เอาไหน
ในตำหนักเฉิงเฉียน ธงกลืนวิญญาณหมุนวนกลางอากาศ ถานไถจิ้นมองมันอยู่นาน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “นักพรตเฒ่า เราจำได้ว่าแต่ก่อนเจ้าเคยบอกว่ามีวัตถุเวทชิ้นหนึ่งสามารถพันธนาการคนผู้หนึ่งไว้ ทำให้นางมิอาจจากไปที่ใดได้ตลอดกาล”
หมอกดำปั่นป่วน ท่ามกลางเสียงหัวเราะชั่วร้าย นักพรตเฒ่าก้าวออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม
“พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ของชิ้นนี้เป็นสิ่งชั่วร้าย หากฝ่าบาทใช้มัน ย่อมเป็นผลเสียต่อพระวรกายด้วย”
“เอามา”
นักพรตเฒ่าหยิบกำไลสีทองสองวงออกมาทันที “ฝ่าบาทวางพระทัย แม้นี่จะเป็นวัตถุชั่วร้าย แต่ก็เป็นวัตถุเวทคุ้มครองกายอย่างหาได้ยากยิ่ง หากวัตถุเวทนี้ไม่แตก ย่อมสามารถคุ้มครองเจ้าของให้ปลอดภัยได้ ต่อให้นางตายไป กระหม่อมก็สามารถเสาะหาวิญญาณของนางได้”
ถานไถจิ้นพิจารณากำไลสองวงนั้น สวมกำไลข้างหนึ่งกับข้อมือตนเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
กำไลแนบติดกับข้อมือเขา มุมปากเขามีโลหิตไหลหยดลงมา ถานไถจิ้นเช็ดมันด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์
เขาโค้งริมฝีปาก สีหน้าเจือแววเสียดสีเล็กน้อย
หลีซูซูเพิ่งจะนอนลง ประตูก็ถูกคนเปิดออก
ใกล้เข้าช่วงลี่ตง* แม้แคว้นโจวจะไม่หนาวเหมือนแคว้นซย่า ทว่าวังเย็นที่ทรุดโทรมและมีเพียงผ้าห่มผืนบางย่อมยากที่จะให้ความอบอุ่นได้
นางลุกขึ้นนั่งบนเตียง ถามผู้มาว่า “เจ้ามาด้วยเหตุใด”
ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าวันนี้ยังมิใช่วันที่สิบห้า
ชายหนุ่มเงียบงัน คว้าข้อมือนางขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “วันนี้ข้าฟังเรื่องเรื่องหนึ่งมา อนุของฉีโม่ฆ่าคนในครอบครัวเขาทั้งหมด”
หลีซูซูพูด “ดังนั้นเจ้าเลยกลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าบ้าง?” นางเงียบไปและเสริมว่า “ยังมีเยี่ยปิงฉางอีกคน”
หลีซูซูมองไม่เห็นสีหน้าเขา ทว่ากลิ่นอายของชายหนุ่มอยู่ข้างกาย ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก นางอยากดึงข้อมือตนเองกลับมา แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยมือ
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “มิผิด”
วัตถุเย็นเฉียบอย่างหนึ่งถูกดันมาบนข้อมือ เหมือนงูที่แลบลิ้นเลียผิวขาวซีดของนาง
“นี่คืออะไร” หลีซูซูพูดอย่างต่อต้าน
ถานไถจิ้นตอบ “แน่นอนว่าย่อมเป็นของที่ทำให้เจ้าทรมาน ถอดใจเสียเถอะ เมื่อสวมเข้าไปแล้วจะมิอาจถอดออกได้”
โกวอวี้พูด “เขาโกหกท่าน นี่คือกำไลฝูจื่อ วัตถุเวทชั่วร้ายคู่หนึ่ง บนมือเขาก็สวมอยู่ข้างหนึ่ง คู่กันกับท่าน มีของสิ่งนี้แล้ว ท่านมิอาจจากเขาไปเกินเจ็ดวัน หากจากไปจริงๆ ท่านจะตาย เขาเองก็จะตายด้วย” ขบคิดดูแล้ว โกวอวี้เสริมอีกว่า “ขณะเดียวกันยังสามารถปกป้องท่าน ทำให้ท่านไม่ได้รับอันตราย”
มือเล็กเย็นเฉียบของหลีซูซูถูกถานไถจิ้นกุมไว้ในฝ่ามือ นางเงียบงันเนิ่นนาน แววต่อต้านบนใบหน้าสลายไป ในใจเกิดความเบิกบานจางๆ เมื่อไขกระดูกเทพเข้าสู่ร่างกาย เขาย่อมไม่ตาย กำไลฝูจื่อมิอาจพันธนาการข้าได้ ในเมื่อถานไถจิ้นชอบควบคุมบงการนัก เช่นนั้นก็ให้เขาเห็นกับตาว่ากำไลฝูจื่อวงนี้แตกสลายไปอย่างไร
ส่วนเขา มิอาจหยุดยั้งอะไรได้ทั้งนั้น
* ลี่ตง คือวันเริ่มต้นฤดูหนาว ชาวจีนระบุช่วงวันของภูมิอากาศในหนึ่งปีไว้ 24 ลักษณะ เรียกว่ายี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ โดย ‘ลี่ตง’ หมายถึงเริ่มต้นฤดูหนาว ตรงกับวันที่ 7-8 พฤศจิกายน